ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 559

ตอนที่ 559 ทำตามที่รับปาก

ต่อมาหลงซิวได้สอบถามเรื่องเซ่าผิงปอต่อ หนิวโหย่วเต้าก็พูดคุยประสมโรงไป

หลงซิวไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเขาไปได้ตลอด แค่มาพบเขาก็นับว่าไว้หน้ามากพอแล้วและแน่นอนว่าไม่ได้รีบร้อนไล่เขาจากไป เอ่ยรั้งให้หนิวโหย่วเต้าพักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน

แต่หนิวโหย่วเต้าไม่คิดจะอยู่ อยู่ที่นี่เสียเปรียบเกินไป อ้างว่ามีธุระเพื่อขอตัวลา

หลงซิวก็ไม่ได้บังคับฝืนใจ ให้อี้ซูเป็นตัวแทนออกไปส่งแขก

ระหว่างลงเขา หนิวโหย่วเต้าพลันยื่นมือไปโอบเอวก่วนฟางอี๋

ก่วนฟางอี๋คิดจะเบี่ยงตัวหนีแล้วหันไปด่า ทว่าหนิวโหย่วเต้ากระซิบห้ามไว้ “อย่าขยับ”

ก่วนฟางอี๋หันไปสังเกตสายตาของเขา ผงะไปเล็กน้อย ตระหนักอะไรขึ้นมาได้ ฉงนสับสนอยู่ใน รู้ดีว่าหนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ต้องมีเป้าหมายอะไรแน่ จึงเสแสร้งประสมโรงไปด้วย ทำให้ทั้งสองดูเหมือนมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ

เดิมทีอี้ซูก็ไม่ค่อยถูกชะตากับคนทั้งสองอยู่แล้ว แม้จะต้องออกมาส่งแขกแต่กลับเดินตามหลังนะระยะไม่ใกล้ไม่ไกล พอเห็นฉากนี้ เห็นมือหนิวโหย่วเต้าแทบจะคลึงสะโพกของอีกคนอยู่แล้ว พลันมีสีหน้าย่ำแย่นัก

เห็นพฤติกรรมผิดศีลธรรมกลางวันแสกๆ คู่ชายหญิงมักมากไร้ยางอายทำให้นางสะอืดสะเอียนจนแทบอาเจียนออกมาแล้ว

ระหว่างทาง เนื่องจากได้รับสัญญาณลับจากหนิวโหย่วเต้า ก่วนฟางอี๋ถึงขั้นที่เป็นฝ่ายเข้าไปกอดแขนหนิวโหย่วเต้าก่อนด้วย

หลังพ้นประตูสำนักไป ก็ไปหาอู๋เหล่าเอ้อร์ที่เฝ้าวิหคพาหนะรอคอยอยู่ จากนั้นก็โบยบินออกจากที่นี่ไป

ก่วนฟางอี๋มองวังเหินเวหาที่ถูกทิ้งห่างไว้ด้านหลังแล้วถึงได้เอ่ยถามเสียเบา “เกิดอะไรขึ้น?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “หลงซิวคิดจะจับคู่ข้ากับอี้ซู”

ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “เขาจะให้เจ้าแต่งกับอี้ซูหรือ?”

“เขาเป็นถึงประมุขวังเหินเวหาผู้ทรงเกียรติไหนเลยจะเอ่ยเรื่องวิวาห์ของศิษย์ออกมาตรงๆ ได้ เพียงบอกใบ้ผ่านวาจาเท่านั้น ต้องการให้ข้าเป็นฝ่ายออกตัว…”

ก่วนฟางอี๋ได้ฟังก็ยิ้มออกมา “นี่เป็นเรื่องดีเลยนะ หลงซิวเป็นคนระดับใดเล่า? เขาก็มีตำแหน่งในหอเลือนสลัวเช่นกัน นี่คือเรื่องดีที่ต่อให้คนอื่นร้องขอก็ยังไม่ได้มา อย่าชักช้าเลย ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมแล้ว ให้คนส่งเทียบสู่ขอเลย หลงซิวมีหน้ามีตา หาเหตุผลมาป่าวประกาศได้ มีหลงซิวคอยข่มอยู่อยู่ ถึงอี้ซูไม่อยากตกลงก็คงไม่ได้แล้ว เจ้าเตรียมตัวโอบโฉมงามกลับบ้านได้เลย”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “โฉมงามอะไรกัน แล้วเจ้าไม่งามหรือ? ข้าว่านางไม่คู่ควรจะถือรองเท้าให้เจ้าด้วยซ้ำ”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะร่า “นี่ก็ถูก! เอ๊ะ ไม่ถูกสิ…” รอยยิ้มพลันเลือนลง สีหน้าแปรเปลี่ยน “ก่อนหน้านี้เจ้ามีเจตนาใดกัน? คิดจะใช้ข้าเป็นหนังหน้าไฟสร้างความรังเกียจให้สาวน้อยคนนั้นงั้นหรือ?”

ก็ใช่ว่าไม่ยินดีช่วยขจัดปัญหาให้หนิวโหย่วเต้า แต่ทัศนคติของหนิวโหย่วเต้ากลับเป็นปัญหา คิดว่าเดิมทีนางก็มีชื่อเสียงฉาวโฉ่อยู่แล้วเหมาะจะนำมาใช้เป็นโล่กำบังเช่นนี้งั้นหรือ?

“ใช่ที่ไหนกัน” หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมรับ

แต่ถึงจะไม่ยอมรับก็ไม่มีประโยชน์ ก่วนฟางอี๋พลันด่ากราดใส่หน้าโครมๆ อู๋เหล่าเอ้อร์ที่ควบคุมวิหคพาหนะอยู่ฟังแล้วส่ายหน้าทันที…

“อาจารย์ ท่านเรียกพบเขาทำไมหรือเจ้าคะ?”

อี้ซูที่กลับมาจากส่งแขกแล้วทนไม่ไหวเอ่ยถามหลงซิวที่ยกมือไพล่หลังพิงราวกั้นทอดสายตามองออกไปไกลๆ

หลงซิวไหนเลยจะยอมบอกความจริงแก่นาง ย้อนถามกลับไปว่า “ซูเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้เป็นอย่างไร?”

อี้ซูเอ่ยออกไปทันที “ไม่กล้ายกย่องเลยเจ้าค่ะ”

หลงซิวแปลกใจ ไม่คิดเลยว่าศิษย์ของตนจะปฏิเสธหนิวโหย่วเต้าตรงๆ เช่นนี้ หันกลับไปถามทันที “ก็ดีมากมิใช่หรือ เหตุใดถึงบอกว่าไม่กล้ายกย่องเล่า?”

อี้ซูเอ่ยว่า “เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เห็นผู้ใดในสายตา!”

หลงซิวขมวดคิ้ว “เจ้ามองจากตรงไหนว่าเย่อหยิ่งจองหอง ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา? เขาเคยเสียมารยาทกับเจ้าหรือ?”

อี้ซูเอ่ยว่า “หากเขากล้าก็ลองดู! อาจารย์ ท่านอย่ามองเพียงฉากหน้าที่เขานอบน้อมต่อท่านนะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าในใจจะคิดกับวังเหินเวหาของพวกเราอย่างไร คนผู้นี้ไม่เคยให้เกียรติผู้อาวุโสเลย ตอนอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็กล้าลงมือกับคนของผู้อาวุโส เรื่องที่ลงมือกับศิษย์ของสำนักเพลิงนภาตอนอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีก็ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ท่านคิดว่าเขามองวังเหินเวหาของพวกเราดีกว่าไปสำนักเพลิงนภาหรือเจ้าคะ?”

หลงซิวเอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้อาจารย์เคยอธิบายไปแล้ว ล้วนเป็นเพราะถูกคนอื่นบีบคั้นไร้ทางถอยจึงต้องเอาคืน นับเป็นความผิดได้หรือ? หากเป็นสวะไร้ค่าที่ผู้ใดก็สามารถสังหารได้ง่ายๆ จริง เจ้าคิดว่าเขาจะมีคุณสมบัติได้มาพบอาจารย์ที่นี่หรือ?”

อี้ซูกล่าวว่า “อาจารย์ เรื่องอื่นไม่ขอพูดมากแล้ว แต่เรื่องระหว่างเขากับหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีคนนั้นเล่า คนสัตย์ซื่อมีศีลธรรมเขาจะทำกันหรือเจ้าคะ?”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลงซิวค่อนข้างปวดหัวขึ้นมาแล้วเช่นกัน ได้ยินว่าตอนอยู่ในสวนไม้เลื้อยที่เมืองหลวงแคว้นฉีหนิวโหย่วเต้าพำนักร่วมห้องกับก่วนฟางอี๋ในระยะยาว ยามนี้ก็ตัวติดกันดั่งเงาตามตัวไปไหนไปกัน

ศิษย์น้อยคนนี้ของตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ให้ออกเรือนกับคนเคยหย่าร้างอย่างหนิวโหย่วเต้านับว่าได้รับความอยุติธรรมแล้ว

แล้วไปเถิด กับเรื่องถังอี๋ยังพอกล่าวได้ว่าไร้ทางเลือก แต่เรื่องที่อยู่กับหงเหนียงมันอย่างไรกันเล่า?ชื่อเสียงของหงเหนียงเป็นอย่างไรยังต้องให้พูดมากอีกหรือ เขาค้นพบว่าเด็กหนุ่มเยาว์วัยอย่างหนิวโหย่วเต้าไม่ค่อยรักถนอมเกียรติของตนเอาเสียเลย เช่นนี้มิใช่การตัดอนาคตตัวเองหรอกหรือ?

เนื่องด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ค่อนข้างปวดหัวขึ้นมา เรื่องบางอย่างก็ไม่อาจหารือกับคนอื่นๆ ในวังเหินเวหาได้ หนิวโหย่วเต้าเป็นคนที่ชีวิตยุ่งเหยิงวุ่นวายคนหนึ่ง แต่เพื่อที่จะผูกมัดดึงตัวคนไว้ประมุขวังเหินเวหาผู้ทรงเกียรติอย่างเขาถึงขั้นประเคนศิษย์คนสุดท้องของตนให้แต่งออกไปอย่างไม่นึกเสียดายเลย ไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยหรือ? อย่าว่าแต่ความเห็นของคนนอกเลย แม้แต่คนในวังเหินเวหาเองจะคิดเห็นเช่นใดเล่า?

ดังนั้นเขาจึงหวังให้หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายออกตัวก่อน

ใคร่ครวญเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง หลงซิวก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีตของเขา อาจารย์เขาด่วนจากไป ข้างกายไร้คนคอยอบรมสั่งสอนเขา ทำให้เหลวไหลไปบ้าง คนเขายังหนุ่มแน่น พฤติกรรมบางอย่างก็พอเข้าใจกันได้”

อี้ซูค่อนข้างแปลกใจ เอ่ยด้วยความฉงน อาจารย์ ไยถึงรู้สึกว่าท่านกำลังช่วยแก้ต่างให้เขาละเจ้าคะ?“”

“งั้นหรือ?” หลงซิวไม่ยอมรับ กลับเอ่ยด้วยความจริงจังหวังดี “เพราะยามเยาว์อาจารย์ก็เคยเลอะเลือนไปเช่นกัน ไม่ว่าใครก็เคยมีช่วงวัยเยาว์อันไร้แก่นสารทั้งสิ้น มองคนจงอย่ามองแค่ปัจจุบัน ต้องมองไปถึงอนาคตด้วย! ความหมายของอาจารย์คือ หนิวโหย่วเต้าคนนี้ยังคงน่าชื่นชมนัก มิเช่นนั้นอวี้ชางตะปล่อยให้หลานชายตนมากราบเขาเป็นอาจารย์หรือ? คนเราไม่อาจมองกันเพียงจุดด้อยได้ ต้องมองจุดแข็งของเขาด้วย นี่คือจุดที่ข้าต้องการให้เจ้าเรียนรู้จากคนเขา”

อี้ซูชี้เข้าหาตัวเอง เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “อาจารย์จะให้ข้าเรียนรู้จากเขาหรือเจ้าคะ?”

สีหน้าหลงซิวแปรเปลี่ยนในทันใด พลันชี้หน้านางแล้วเอ่ยตำหนิ “ข้าบอกแล้วไงว่าต้องการให้เรียนรู้จุดแข็งของคนเขา! เจ้าคิดว่าตนเป็นศิษย์วังเกินเวหาแล้วจะทำทุกอย่างได้ตามต้องการหรือ? ทัศนคตินี้ของเจ้าต้องได้รับการปรับแก้ ฟังข้าให้ดี ต่อไปหากไม่มีธรุใดจงไปมาหาสู่ทางจังหวัดชิงซานให้บ่อยเข้า ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายไว้ให้มาก ฟังรู้เรื่องหรือไม่?”

พอเห็นเขาโมโห อี้ซูก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ “เจ้าค่ะ!”

คล้อยตามเพียงฉากหน้าเท่านั้น แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วยเลย

….

อินทรีหยกทมิฬสองตัวบินวนกลางอากาศเหนือยอดเขาอยู่พักหนึ่งก็ร่อนลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ต้วนหู่ เหล่ยจงคังและอู๋ซานเหลียงกระโดดลงมา

คนผู้หนึ่งทะยานออกมาจากป่า เป็นคนของสำนักเบญจคีรีที่ถูกจัดวางไว้รอบเขตสำนักหมื่นสรรพสัตว์

พวกต้วนหู่ไม่คุ้นเคยกับเขา แต่เคยพบกันมาก่อน อีกฝ่ายจดจำพวกเขาทั้งสามดี ทราบดีว่าเป็นคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต้า

เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ายืนยันตัวทักทายกันเรียบร้อย ต้วนหู่ถามออก “เตรียมกำลังพร้อมหรือยัง?”

อีกฝ่ายตอบว่า “ระดมพลรอแต่เนิ่นๆ แล้วขอรับ”

“ดี ออกเดินทางได้เลย!” ต้วนหู่พยักหน้าพลางโบกมือ

ช่วงเที่ยงวัน ศิษย์ของสำนักเบญจคีรีคนนั้นปรากฏตัวขึ้นด้านนอกประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แจ้งต่อศิษย์ที่เฝ้าประตูสำนักว่าตนคือเฮยอู่ บอกว่าเป็นสหายของเฉาเซิ่งไหว มาขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือ

ไม่นานนัก เฉาเซิ่งไหวทะยานออกมาจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ พอได้ยินว่า ‘เฮยอู่’ ก๊อกสั่นขวัญแขวน บอกว่ากินปูนร้อนท้องก็ไม่เกินไปเลย รีบมาอย่างรวดเร็ว

ถึงเห็นว่าผู้ที่อยู่นอกสำนักมิใช่คนรู้จัก แต่ก็ยังพุ่งออกไปนอกประตูสำนักโดยเร็ว พาตัวคนออกไปด้านข้าง เอ่ยถามว่า “พวกเรารู้จักกันหรือ?”

ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ในเมืองวั่นเซี่ยงมีผู้ที่เดินทางมาทำตามคำมั่นที่เต้าเหยี่ยเคยรับปากเจ้าไว้”

เฉาเซิ่งไหวไม่ได้ตามเขาออกไปในทันที กลัวว่าจะถูกหนิวโหย่วเต้าฆ่าปิดปาก เมื่อสอบถามสถานที่นัดพบในเมืองแน่ชัดแล้วก็ให้ศิษย์คนนั้นกลับไปก่อน บอกว่าตนจะตามไปทีหลัง

เขากลับเข้าไปในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ลากตัวศิษย์ร่วมสำนักกลุ่มหนึ่งลงเขาไปดื่มสังสรรค์ ไปยังโรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์ในเมืองวั่นเซี่ยง

ระหว่างที่ศิษย์ร่วมสำนักดื่มกันอยู่ เขาหาข้ออ้างปลีกตัวขึ้นไปชั้นบนของโรงเตี๊ยม ไปเคาะประตูห้องพักหนึ่งแล้วเปิดเข้าไป

มีคนรอเขาอยู่ในห้อง เป็นต้วนหู่

หลังจากทั้งสองฝ่ายยืนยันสถานะกันเรียบร้อย เฉาเซิ่งไหวบอกใบ้เป็นนัยเล็กน้อยว่าในละแวกนี้ล้วนมีคนของเขาอยู่

ต้วนหู่หัวเราะ ผายมือเชิญอีกฝ่ายนั่ง ล้วงตั๋วแลกเงินปึกหนึ่งออกมาดันไปไว้ตรงหน้าเขา “นี่คือเงินหนึ่งล้านเหรียญทอง! เต้าเหยี่ยฝากข้ามาแจ้งว่า ไม่นานมานี้เกิดเหตุปะทะบางอย่างขึ้นทางเป่ยโจว สูญเสียไปไม่น้อย การเงินค่อนข้างตึงมือ อีกสามล้านที่เหลือไม่มีทางเบี้ยวพี่เฉาแน่ แต่จะทยอยให้ทีหลัง”

ได้มาบ้างก็ดีมากแล้ว เดิมทีเฉาเซิ่งไหวคิดวไว้ว่าคงไม่ได้เสียแล้ว ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะยังมอบส่วนหนึ่งมาให้ตามที่พูดไว้

พอได้ตั๋วเงินไปก็นับดูอย่างละเอียด เพิ่งจะยัดใส่อกเสื้อ ต้วนหู่ก็เอ่ยกับเขาอีกว่า “เต้าเหยี่ยให้ข้าพาคนส่วนหนึ่งมาด้วย บอกว่าพี่เฉามีเรื่องอยากให้พวกเราช่วยจัดการให้”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เฉาเซิงไหวค่อนข้างโมโหนัก หนิวโหย่วเต้าบอกจะไปก็ไปเลย ไม่ได้จัดการเรื่องที่รับปากเขาไว้ ศิษย์ร่วมสำนักที่มีส่วนร่วมในเรื่องนั้นทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวัน

ประเด็นสำคัญคือคนกลุ่มนั้นเห็นตนเป็นคนกันเองแล้ว มีเรื่องใดก็วิ่งโร่มาหาตน ออกจะประเมินความสามารถของเขาสูงไปแล้ว หากเขามีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ จะเลือกเดินทางเสี่ยงไปไย?

เขาเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นมาไม่ช้าก็เร็วอีกทั้งเคยคิดจะลงมือเอง แต่ปัจจุบันนี้ศิษย์กลุ่มนั้นไปมาหาสู่ใกล้ชิดเขา มีหลายคนในสำนักที่ทราบกันดี ในช่วงที่ทำให้ทั้งกลุ่มหายตัวไปเขาจำเป็นต้องมีหลักซานยืนยันว่าตนไม่ได้อยู่กับคนพวกนั้นด้วย

อีกทั้งเคยคิดจะติดต่อคนนอกมาลงมือ แต่ก็ไม่กล้าอีก หากให้คนนอกมาจัดการเรื่องนี้ ก็เท่ากับยัดจุดอ่อนใส่มือคนเขา วันหน้าย่อมเป็นสุขแน่

เฉาเซิ่งไหวมองไปรอบๆ ส่งสัญญาณให้เขาเอียงหูเข้ามา กระซิบพึมพำข้างหูต้วนหู่หลายประโยค

ต้วนหูพยักหน้ารับ สื่อว่าเข้าใจแล้ว

ยามที่ขยับศีรษะแยกห่างกัน เฉาเซิ่งไหวกัดฟันเอ่ย “ข้าต้องการเห็นศีรษะพวกเขาในเช้าวันพรุ่งนี้”

“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาแน่ พรุ่งนี้เช้าจงไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ทางประตูเมืองฝั่งตะวันออก จะฝังไว้ที่นั่น”

….

ในคืนนี้ เฉาเซิ่งไหวหาข้ออ้างที่เหมาะสมเอาไว้ อยู่ร่วมกับเหล่าศิษย์ร่วมสำนักทั้งคืน ฉากหน้าดูสงบเยือกเย็น แต่ในใจกลับกระวนกระวายสุดขีด

ศิษย์น้องสี่คนนั้นถูกเขาหลอกให้ลงเขามาแล้ว อ้างว่าให้ไปติดต่อคนเพื่อรับของ

สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือคนของหนิวโหย่วเต้าจะทำพลาดไป หากว่าทำพลาดปล่อยให้มีคนใดหนีกลับมาได้ คนที่หนีรอดมาได้ต้องรู้แน่ว่าติดกับดักแล้ว เช่นนั้นเขาก็ซวยแล้ว

ได้แต่ปลอบใจตัวเอาไว้ว่านี่มิใช่เรื่องเล็กๆ หนิวโหย่วเต้าต้องรู้ผลลัพธ์จากการที่เรื่องรั่วไหลออกไปแน่ น่าจะจัดการเรื่องได้เหมาะสม

ไม่ง่ายเลยกว่าจะทนรอจนฟ้าสางได้ มีข่าวแพร่ไปในสำนักแล้ว กล่าวกันว่าสี่คนนั้นออกไปข้างนอกทั้งคืนไม่กลับมาเลยทั้งคืนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต มีการส่งคนออกไปตามหาแล้ว

ตัวเฉาเซิ่งไหวเองก็ถูกบุคลากรฝ่ายกิจการสำนักเรียกพบเป็นคนแรก ถามว่าเขาทราบหรือไม่ว่าสี่คนนั้นไปไหน เขาย่อมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

จากนั้นเพื่อยืนยันว่าตนมีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสี่ จึงเสนอตัวขอลงเขาไปช่วยตามหา

เขาพบต้นไมใหญ่นอกประตูเมืองแล้ว พื้นดินสมบูรณ์ปกติดี ไหนเลยจะมีร่องรอยว่าเคยขุดฝังสิ่งใดไว้ เขาขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้นแต่ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี

ช่วยไม่ได้แล้ว เขารีบมุ่งหน้าไปยังเมืองวั่นเซี่ยงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไปหาต้วนหู่ที่โรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์

ที่โรงเตี๊ยมไหนเลยจะยังมีเงาร่างต้วนหู่อยู่ คนในโรงเตี๊ยมบอกว่าแขกคืนห้องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

เฉาเซิ่งไหวออกจากโรงเตี๊ยมมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่ทราบทางต้วนหู่มีเจตนาใดกัน ไม่ได้ลงมือหรือว่าลงมือแล้วแต่ลืมเรื่องที่รับปากกันไว้? แต่เรื่องเช่นนี้จะลืมกันได้หรือ?

ตอนนี้เขาอยากงอกปีกแล้วรีบบินตรงไปยังหนานโจวเพื่อสอบถามหนิวโหบ่วเต้าให้กระจ่างใจแทบขาดแล้ว…

…………………………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า