ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 558

ตอนที่ 558 เจตนาดีของหลงซิว

วิหคมุ่งหน้าสู่จังหวัดชิงซาน บินตัดตรงผ่านพันขุนเขาหมื่นธารา เป็นการเดินทางอยู่ภายในเขตมณฑหนานโจวเช่นกัน จึงใช้เวลาไม่นานนัก

ขุนเขาธารายังคงเดิม คฤหาสน์กระท่อมฟางยังคงเป็นเช่นในวันวาน

หลังจากลงสู่พื้นแล้ว ซางซูชิงก็เหลียวมองรอบๆ มองเห็นเด็กสาวหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสาคนหนึ่งนั่งเท้าราวกั้นอยู่บนชั้นสองของอาคารหลังหนึ่ง ในมือกอดกล่องอาหารเอาไว้ อีกมือถือน่องไก่แทะกิน กินจนปากเปื้อนคราบมันเยิ้ม สองขาแกว่งไกวอยู่ในอากาศ

เด็กสาวที่แทะน่องไก่อยู่ก็มองนางอยู่เช่นกัน แต่มองเพียงเล็กน้อยก็ดูเหมือนจะไม่สนใจไยดีอันใดอีก เตะสองขาแกว่งไหวพลางกินอาหารของตนต่อไป

หยวนกังเดินเข้ามา “ท่านหญิงมาแล้วหรือ”

“หยวนเหยี่ย” ซางซูชิงพยักหน้าพลางยิ้มให้ จากนั้นก็มองสตรีที่อยู่บนชั้นสองแล้วถามด้วยความสงสัย “นั่นคือผู้ใดหรือ?”

“อิ๋นเอ๋อร์”

“อิ๋นเอ๋อร์?”

หยวนกังไม่ได้อธิบายอะไรมากเช่นกัน ยื่นมือไปรับห่อสัมภาระของซางซูชิงมาจากลูกน้องด้านข้าง ผายมือเชิญซางซูชิงให้ตามเขาไป “จัดการห้องของท่านหญิงไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเขาไม่พูดมาก ซางซูชิงก็ไม่ถามมากเช่นกัน แต่ยังคงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “น้องสะใภ้ของอาจารย์อวี้ชางอยู่ที่ใดหรือ? ก่อนจะเดินทางมา เสด็จพี่กำชับว่าให้ข้าเป็นตัวแทนไปคารวะ”

หยวนกังกล่าวว่า “เก็บของแล้วค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” ซางซูชิงพยักหน้ารับ เดินตามเขาไป

เซี่ยลิ่งเพ่ยนั่งอยู่ในศาลา กอดตำรารวมกวีไว้พลางโคลงศีรษะไปมา ปากก็ท่องงึมงำไปด้วย กำลังท่องจำบทกวีในมืออยู่

อาจารย์บอกว่าต้องท่องกลับหน้ากลับหลังอย่างคล่องแคล่วให้ได้ เรื่องนี้ยากมากเหลือเกิน ท่องแล้วติดขัดเหลือเกิน

จวงหงที่ออกไปตะลอนด้านนอกมาถึงแล้ว พอเห็นบุตรชายมีท่าทางเช่นนี้ก็ไม่เดินเข้าไปรบกวน ภิกษุที่กวาดพื้นอยู่ในสวนหยุดมือลง พนมมือคำนับ

จวงหงพยักหน้าให้นิดๆ

อยู่ที่นี่นางมีอิสระอย่างแท้จริง เข้าออกได้ตามต้องการ หากอยากเข้าไปในตัวเมืองก็บอกเพียงประโยคเดียว คนที่ตีนเขาจะจัดรถม้าไปส่งนางทันที เที่ยวเล่นในตัวเมืองไปกับนาง

นานมากแล้วที่ไม่ได้มีความรู้สึกที่มีอิสระเสรีเช่นนี้ ทำให้นางปลอดโปร่งผ่อนคลายทั้งกายใจ

แต่เมื่อเห็นสมณะยืนพนมมืออยู่ตรงหน้า ก็ทำให้นางเกิดความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออกต่อคฤหาสน์แห่งนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบว่าคนงานทั้งหมดในคฤหาสน์ล้วนเป็นกลุ่มสมณะ

นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สิบนิ้วประกบพนมมือ เป็นฉากที่พบเห็นได้ทั่วไปในสถานที่แห่งนี้

เสียงระฆังย่ำรุ่ง เสียงกลองบอกเย็นย่ำ แล้วก็ยังได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นเป็นครั้งคราว ทำให้อารมณ์ร้อนในใจคนทุเลาลงไปหลายส่วน มีความสงบปล่อยวางบางอย่างเอ่อท้นขึ้นมา

ไม่เพียงแต่มีเหล่าสมณะที่คอยปรนนิบัติดูแลอย่างเอาจริงเอาจังเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีอาหารเลิศรสที่นางไม่เคยลิ้มลองมาก่อนด้วย อีกทั้งมีสุราที่สุดแสนโอชารส

เจ้าของสถานที่แห่งนี้หรือก็คืออาจารย์ของบุตรชายทำให้นางเกิดความคิดว่าเป็นคนที่เข้าใจในชีวิตอย่างแท้จริง มีอาหารการกินเลิศรส อีกทั้งมีคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งคอยประดับบารมีเช่นนั้น ถึงพร้อมในด้านกวีศิลป์อีก ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!

พอย้อนนึกถึงอาจารย์อวี้ชางที่ติดตามมานานนม เมื่อเทียบกันดูแล้ว นางสังเกตเห็นว่าวิถีชีวิตของคนเหล่านั้นไม่ต่างไปจากซากศพที่เดินได้เลย

แต่ในความเป็นจริง สำหรับพวกหนิวโหย่วเต้าแล้ว พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้เลย หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่เคยคิดจะใช้เหล่าสมณะมาเสริมบารมีในการใช้ชีวิตเช่นกัน เพียงบังเอิญมีเหล่าสมณะมาวนเวียนอยู่รอบตัวเท่านั้น

ยังมีซางซูชิงอีกคนที่รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ยอดเยี่ยมอย่างมากเช่นกัน ได้หลุดพ้นจากการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดในจวนผู้ว่าการมณฑล กลับมาสัมผัสกับสภาพแวดล้อมของที่แห่งนี้อีกครั้ง นางสบายใจนัก

หยวนกังมาเข้าพบทางนี้เป็นเพื่อนนางด้วย แนะนำสองแม้ลูกต่อซางซูชิง

ย่อมมีการสนทนากันตามมารยาทและรบกวนการเรียนของเซี่ยลิ่งเพ่ย

เซี่ยลิ่งเพ่ยค่อนข้างตกใจกับรูปโฉมของซางซูชิง บนโลกนี้มีสตรีที่หน้าตาชวนสะพรึงเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ เกรงว่ามองตรงๆ แล้วจะทำให้รู้สึกไม่ดี จึงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ พูดจาตะกุกตะกักไปหมด

พอทราบว่าสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายคือหนังสือรวมกวีที่หนิวโหย่วเต้าประพันธ์ขึ้น ซางซูชิงก็อดใจไม่ค่อยไหว ลองถามดูว่า “พอให้ข้าชมตำรารวมกวีในมือคุณชายหน่อยได้หรือไม่?”

“ได้พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยลิ่งเพ่ยพยักหน้าหงึกๆ ยื่นส่งให้ด้วยสองมือ “เชิญท่านหญิงอ่านได้เลย”

ซางซูชิงเอ่ยขอบคุณ รับไปพลิกเปิดดู เอ่ยท่องไปตามตัวอักษรที่เห็นด้วยเสียงแผ่วเบา “หนทางวิบาก! เส้นทางลำเค็ญ! เส้นทางแตกแขนงไปมากมาย มรรคาที่แท้จริงนั้นอยู่หนใด? บางครามีคลื่นลมฝนโหมกระหน่ำ หยัดยืนมั่นกางใบเรือฝ่าสมุทร…”

นางเพ่งสายตา อ่านกลอนบทต่อไป “จันทร์กระจ่างจักปรากฏในยามใด? ชูจอกไต่ถามฟากฟ้า มิอาจทราบถึงวิมานในแดนสรวง เพลานี้เคลื่อนคล้อยเป็นยามใด…มนุษย์เรามีทุกข์สุขพบพราก ดั่งจันทรามีเต็มดวงและแหว่งเว้า ดำเนินไปเช่นนี้แต่โบราณ เพียงหวังให้คนไกลอยู่ยืนยาว ร่วมชมจันทร์งามแม้ไกลห่างกันพันลี้…”

เมื่อท่องจบ นางก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์ศิลป์แห่งกวี เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำอยู่หลายส่วน

เซี่ยลิ่งเพ่ยที่ท่องจนขึ้นใจแล้วส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ชื่นชมเลื่อมใสในความสามารถของผู้เป็นอาจารย์อย่างยิ่ง

จวงหงที่เคยอ่านตำรารวมกวีของบุตรชายมาแล้วเช่นกันก็เอ่ยรำพันว่า “อาจารย์เป็นผู้สง่างามคนหนึ่ง”

ไม่ชมก็ยังพอว่า แต่พอเอ่ยชมกันเช่นนี้ หยวนกังที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เกิดความรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาแล้ว ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เคยพบคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยพบคนที่ไร้ยางอายเท่าเต้าเหยี่ยเลย

….

ณ วังเหินเวหา ศิษย์ที่เข้าไปรายงานกลับมาแล้ว เชิญหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ที่อยู่นอกประตูสำนักเข้าสู่ด้านใน

เหินทะยานกันไปตลอดทางจนมาถึงยอดเขาหลัก เบื้องหน้าคืออาคารสิ่งปลูกสร้างงามวิจิตรดั่งแดนเซียน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า