ตอนที่ 571 ธนูพาดสายแล้ว
วาดภาพอู๋ซินคนนั้นไปทำไมน่ะหรือ?
หนิวโหย่วเต้าก็จมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดของตนเช่นกัน นึกถึงฉากนั้นที่อู๋ซินหยุดเท้าหันมาสนทนากับตน เอ่ยอย่างใช้ความคิด “เขามิใช่คนพูดมาก”
หมายความว่าอย่างไรกัน? ก่วนฟางอี๋ไม่เข้าใจ “พูดมากไม่พูดมากแล้วเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าวาดภาพเหมือนของเขา?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แม้แต่ซือถูเย่าเขายังเมินเฉยไม่ไยดี แต่พอได้ยินนามข้ากลับหยุดเท้าทันมาหาด้วยตัวเอง เจ้าไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือ?”
ก่วนฟางอี๋หัวเราะออกมา โยนภาพกลับไปบนโต๊ะ หันกลับมาแล้วหย่อนสะโพกนั่งลงบนตะด้วย บิดเอวโน้มตัวลงมาตรงหน้าเขาพลางเอ่ยยิ้มๆ “ว่ากันตามจริงแล้วชื่อเสียงของซือถูเย่าไม่อาจดึงดูดความสนใจคนเขาได้เท่าเจ้าเลยจริงๆ เจ้าไม่ตระหนักถึงหรือว่ากำลังถ่อมตนอยู่กันเล่า?” ในน้ำเสียงเจือแววหยอกเย้าอยู่นิดๆ
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นทาบนิ้วหนึ่งลงบนริมฝีปากนาง ดันใบหน้าของนางที่แทบจะแนบชิดติดหน้าตนให้หันกลับไป “แต่เขามิใช่คนพูดมาก”
ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “เจ้ากลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำตั้งแต่เมื่อไร?”
แต่หนิวโหย่วเต้าดูเหมือนจะจมอยู่ในโลกความคิดของตนไปแล้ว “คนผู้หนึ่งที่ชอบพูดมาก ถึงขั้นที่ไม่ชอบพบปะเจรจากับคนมากเกินไป หากเคยได้ยินเรื่องของข้ามาบ้างก็ไม่แปลกแต่การที่หยุดเท้าหันมาหาข้าต่างการที่ทำให้ข้าแปลกใจมาก คนผู้หนึ่งที่ไม่ชอบพูดมากกลับยังถึงเรื่องซุบซิบนินทาของข้า เอ่ยถึงตระกูลเซ่าแห่งเป่ยโจว เจ้าคงจำได้กระมัง?”
ก่วนฟางอี๋พยักหน้า “จำได้ หากข้าจำไม่ผิดไปละก็ ตอนนั้นเขาเอ่ยว่า ‘ข้าเคยได้ยินเรื่องเจ้า บีบให้คนแซ่เซ่าแห่งเป่ยโจวต้องหนีหัวซุกหัวซุน!’ ”
หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เจ้าไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือ?”
“มีอันใดน่าแปลกกันเล่า? เขาเคยได้ยินเรื่องนี้ของเจ้าแล้วอย่างไร?”
“เขาไม่ใช่คนพูดมาก”
“ก็ไม่ได้พูดมากนี่ แค่เอ่ยลอยๆ ประโยคเดียว”
“ปัญหาอยู่ตรงนี้”
“หมายความว่าอย่างไร?” ก่วนฟางอี๋เริ่มตามตรรกะแนวคิดของคนผู้นี้ไม่ทันแล้ว ถามออกไป “หรือเจ้าสงสัยว่าเขาจะเป็นคนที่เซ่าผิงปอส่งมา? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย พวกหลีอู๋ฮวาล้วนยืนยันแล้วว่าเขาคือคนของหมอี หากเซ่าผิงปอมีความสามารถขนาดที่ติดต่อกับหมอผีได้ เจ้าเดือดร้อนหนักไปนานแล้ว”
พูดกับนางไปก็ไม่รู้เรื่อง หนิวโหย่วเต้าจึงยื่นมือออกไปตบหน้าขาของนาง สื่อว่าให้ขยับสะโพกออกไป จากนั้นก็หยิบภาพเหมือนแผ่นหนึ่งมาถือ จ้องมองคนภาพพลางครุ่นคิด
มีข้อหนึ่งที่ก่วนฟางอี๋กล่าวไม่ผิดเลยจริงๆ ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเซ่าผิงปอคนนั้นล้วนกระตุ้นให้เขาระแวงขึ้นมาได้
ศัตรูเป็นอย่างไรน่ะหรือ? นั่นคือไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ไม่ว่าจะใช้ฝีมือของอีกฝ่ายหรือไม่ สัญชาตญาณจะนึกเชื่อมโยงไปถึงอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดันแรก
ก่วนฟางอี๋ลุกขึ้นแล้วเดินวน ยิ้มร่าเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ย วาดให้ข้าสักภาพสิ วางแล้วจะให้รางวัลอย่างงามเลย”
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองนางเล็กน้อย ผงะไปครู่หนึ่ง มองเห็นคราบดำใต้ริมฝีปากของก่วนฟางอี๋ พลันนึกอะไรขึ้นได้ เขาพลิกฝ่ามือขึ้นมาอย่างเงียบๆ มองดูมือที่เพิ่งผ่านการจับแท่งถ่านของตน นิ้วมือเปื้อนดำปี๋จริงๆ…
….
รุ่งสางวันต่อมา ไห่หรูเยวี่ยที่หลับใหลอยู่บนเตียงพลันสะดุ้งตื่น ถึงขั้นที่บนหน้าผากมีหยดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเพราะความตกใจ ผุดลุกขึ้นนั่งในทันใด แต่กระดูกร่างกายอ่อนแอเกินไป ยังไม่ทันลุกขึ้นนั่งดีก็ล้มลงไปอีก
สาวในภายในห้องตกใจหวีดร้องออกมา
หลีอู๋ฮวาที่ได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นั่งลงข้างเตียงพลางปลอบขวัญ “หรูเยวี่ย เจ้าเป็นอะไรไป?” ทาบนิ้วลงบนข้อมือจับชีพจรให้นาง
“เป็นเขา ผู้ที่อยู่ข้างกายหมอผี” ไห่หรูเยวี่ยหอบหายใจ นึกออกแล้ว ใบหน้านั้นที่เห็นภายในห้องครัวดั่งฝันร้ายที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในหัวนางดั่งฝันร้าย เมื่อร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู สติกลับคืนมาเล็กน้อย ในที่สุดนางก็นึกออกแล้วว่าเคยเห็นใบหน้าในความฝันจากที่ใดมาก่อน
เมื่อแน่ใจว่าสุขภาพของร่างฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี หลีอู๋ฮวาเบาใจลงมาก ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ถูกต้อง นั่นคือศิษย์ของหมอผี มาช่วยแก้พิษให้เจ้า เขาช่วยถอนพิษในร่างของเจ้าเรียบร้อยแล้ว ลูกก็ปลอดภัยแล้วเช่นกัน”
พอได้ยินว่าลูกปลอดภัยแล้ว ไห่หรูเยวี่ยก็โล่งใจเช่นกัน แต่สิ่งที่นางนึกถึงมิใช่เรื่องนี้ คนที่นางนึกถึงคือบุตรชายคนโตของตน “เทียนเจิ้น เทียนเจิ้นไปอยู่กับทางหมอผีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
พอเอ่ยถึงบุตรชายคนโตก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้ นางทราบแก่ใจดีว่าแท้ที่จริงแล้วนางผิดต่อบุตรชายคนนั้นอย่างยิ่ง ถูกหมอผีที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดคนนั้นพาตัวไป ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้จะมีชีวิตอย่างไร
เมื่อเอ่ยถึงเซียวเทียนเจิ้น ในใจของหลีอู๋ฮวาก็ค่อนข้างอึดอัดเช่นกัน เขาก็อยากจะหาข้ออ้างสอบถามแต่อู๋ซินคนนั้นพอเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับฝั่งหมอผีล้วนไม่ให้ความสนใจเลย ถามไปก็เสียเปล่า เขาถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ศิษย์หมอผีคนนั้นนิสัยแปลกประหลาด ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ เขามาเร็วไปเร็ว รักษาพวกเจ้าเสร็จก็ไปเลย”
ถึงแม้จะจากไปแล้วแต่กลับไม่ได้ไปไหนไหล เพียงออกจากจวนผู้ว่าการมณฑลย้ายไปพำนักทางเรือนรับรองอวลสุคนธาตั้งแต่เช้ามือด
ที่ไม่บอกความจริงก็เพราะกลัวจะกระทบต่อสุขภาพของสตรีนางนี้…
ณ เรือนรับรองอวลสุคนธา ข่าวเรื่องศิษย์หมอผีที่รักษาไห่หรูเยวี่ยจนหายดีย้ายเข้ามาพักอยู่ในเรือนรับรองอวลสุคนธาชั่วคราว
แขกผู้มีเกียรติจากแคว้นต่างๆ แปลกใจ พากันมาขอเข้าพบเพื่อพิสูจน์ความจริง
ตอนไม่พบยังพอว่า พอได้พบก็พากันทำตัวเอะอะมะเทิ่งไม่เหมาะสมจนได้รับบทเรียนจากอุปนิสัยของศิษย์หมอผีเข้าแล้ว
จ้าวเซินและเกาเส่าหมิงทยอยกล่าวอำลาต่อทางอู๋ซินแล้วออกมา หลังออกมาแล้วเกาเส่าหมิงร้องเรียกว่า “เจ้ากรมจ้าวช้าก่อนเถิด”
หลังจากเรียกแล้วก็เร่งเดินตามไป จนกระทั่งเดินเคียงข้างกัน ทั้งสองต่างส่งสัญญาณเล็กน้อย คณะผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังล้วนผ่อนฝีเท้าเว้นระยะห่างจากทั้งสองออกไปช่วงหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า