ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 573

สรุปบท ตอนที่ 573 ไร้ลมไม่เกิดคลื่น: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

อ่านสรุป ตอนที่ 573 ไร้ลมไม่เกิดคลื่น จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 573 ไร้ลมไม่เกิดคลื่น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 573 ไร้ลมไม่เกิดคลื่น

สายลมพัดโชย อู๋ซินที่นั่งอยู่บนหลังวิหคยักษ์ค่อยๆ ลดระดับความสูงลง บินเข้าสู่ผืนป่าเขาด้านล่าง

สภาวะของเขามีจำกัด อันที่จริงก็ไม่ถึงขั้นที่จะเรียกเป็นสภาวะอันใดได้

พื้นฐานร่างกายเขาไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียร อาจารย์วิเคราะห์จากสภาพร่างกายเขาแล้วสอนวิธีเดินลมปราณแบบง่ายๆ ให้เขาชุดหนึ่ง ฝึกอยู่นานถึงจะเห็นผลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายนัก

หากว่ากันมาทฤษฎีของหนิวโหย่วเต้าแล้วก็เป็นแค่เคล็ดโคจรปราณง่ายๆ ชุดหนึ่ง

ดังนั้นด้วยสภาวะของเขาจึงไม่สามารถบินอยู่บนฟ้านานๆ ได้ แม้จะเป็นการโดยสารวิหคพาหนะก็ตาม เขาไม่มีพลังปราณพอจะสร้างแรงต้านไปตลอดได้ ถูกลมพัดโกรกนานเข้าก็รับไม่ไหว

แม้ว่าจะเพิ่งออกจากเมืองจินโจวมาได้ไม่เท่าไร ต่อให้เปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นนั่งบนหลังวิหคยักษ์แล้วแต่ผ่านไปได้ครึ่งทางก็ต้องหยุดพักเล็กน้อย

บินวนอยู่กลางอากาศเหนือผืนป่าเขาครู่หนึ่งก็ร่อนลงสู้ริมลำธารที่ไหลผ่านหุบเขา กระโดดลงมาจากหลังวิหคยักษ์

เขาปลดเข่งไม้ไผ่บนหลังลงวางไว้ริมลำธาร เก็บฟืนมาก่อกองไฟ จากนั้นถึงได้ไปล้างหน้าที่ริมธารน้ำสายเล็กๆ กลับมาหยิบอาหารและน้ำดื่มในเข่งไม้ไผ่ นั่งลงผิงข้างกองไฟอบอุ่นร่างกาย ตอนต้องลมอยู่กลางอากาศค่อนข้างหนาวจริงๆ

ขณะที่ร่างกายๆ ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา พลันมีเงาร่างหนึ่งพุ่งโฉบมาขากเชิงเขาด้านหน้า สตรีในสภาพสะบักสะบอมตระหนกเสียขวัญคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ดูเหมือนจะเป็นเพราะมองเห็นว่าคนที่อยู่ริมลำธารมีวิหคพาหนะด้วย จึงร่อนมาทางนี้แล้วเอ่ยอ้อนวอน “คุณชายช่วยข้าด้วย มีคนจะบังคับให้ข้าออกเรือน คุณชาย ขอร้องท่านโปรดช่วยข้าด้วยเถิด”

อู๋ซินมองสตรีนางนี้อย่างเฉยเมย เป็นสตรีอายุไม่มาก มีเค้าความงามอยู่หลายส่วน สภาพดูจนตรอก ท่าทางตื่นตระหนกร้อนรน

พอเห็นเขาไม่ตอบสนอง ฝ่ายสตรีหันหลับไปมาทิศทางที่จากมา คล้ายจะค่อนข้างร้อนใจ รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหลบซ่อนในพงหญ้ารกชัฏกองหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

นางเพิ่งเข้าไปหลบได้ไม่นานก็มีบุรุษสองคนทะยานออกมาจากเนินเขาฝั่งนั้นอีกครั้ง ถือกระบี่ไว้ในมือ คล้ายว่าจะสืบเสาะหาร่องรอยมาตลอดทาง

พอเห็นอู๋ซินที่อยู่ริมลำธาร ทั้งสองทะยานเข้ามาหา คนหนึ่งเอ่ยถามว่า “สหาย เมื่อครู่เห็นสตรีนางหนึ่งผ่านมาหรือไม่ ไปทางไหนแล้ว?”

อู๋ซินไม่ตอบ นั่งกินเนื้อแห้งในมืออยู่ตรงนั้นไปช้าๆ สีหน้าราบเรียบ

“คนผู้นั้นคล้ายจะค่อนข้างโมโห ”ถามเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”

อู๋ซินเงยหน้ามองคนทั้งสอง

“อะฮึ้ม!” คนที่อยู่ด้านข้างหลันดึงตัวเขาเล็กน้อย บ่งชี้ให้มองวิหคพาหนะที่อยู่ด้านข้าง

สีหน้าของชายที่โมโหอยู่แปรเปลี่ยนในทันใด คล้ายตระหนักอะไรได้แล้ว คนที่สามารถใช้งานวิหคยักษ์เป็นสัตว์พาหนะได้ไหนเลยจะใช่คนธรรมดา?

ชายอีกครั้งประสานหมัดหันเข้าหาอู๋ซิน เอ่ยด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “สหายโปรดอย่าเข้าใจผิดไป ก่อนหน้านี้ถูกหญิงชั้นต่ำคนหนึ่งขโมยของสำคัญไป พวกเราพี่น้องก็ร้อนใจอยู่ ขอสหายอย่าได้ถือสาเลย ของที่ถูกขโมยไปสำคัญต่อะวกเราจริงๆ เพียงอยากถามสหายว่าเห็นหรือไม่ว่าหญิงชั้นต่ำคนนั้นไปทางไหน?”

อู๋ซินยังคงไม่ปริปาก กินเนื้อแห้งในมือต่อไปอย่างช้าๆ

ทั้งสองอึกอักลังเล แต่พอมองวิหคพาหนะของอีกฝ่าย สุดท้ายก็คิดว่าไม่ควรไปหาเรื่อง จึงสะบัดแขนเสื้อทะยานจากไปพร้อมกัน ออกค้นหาต่อไป

สายธารรินไหลซ่าๆ มีเสียงวิหคชับขานแว่วขึ้นในป่าเงียบสงัดเป็นครั้งคราว อู๋ซินหยิบกิ่งไม้บนพื้นโยนเข้าไปในกองไฟ

คนที่หลบซ่อนอยู่ในพงหญ้ายังคงไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว

รออยู่นานพักใหญ่ อู๋ซินกินเนื้อแห้งในมือหมดแล้ว เติมกิ่งไม้เข้าสู่กองไฟไปหลายกิ่ง ในที่สุดก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “ออกมาเถอะ น่าจะไปแล้ว”

มีเสียงสวบสาบแว่วออกมาจากพงหญ้าอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดสตรีในสภาพสะบักสะบอมก็ค่อยๆ มุดออกมา เหลียวมองรอบข้างเป็นระยะ สีหน้ายังคงมีความกังวลใจอยู่

พอแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ นางถึงได้คารวะไปทางอู๋ซินอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิต”

อู๋ซินเหลือบมองเล็กน้อย เอ่ยถามไป “เจ้าขโมยของพวกเขาหรือ?”

สตรีพลันมีสีหน้าโมโหอับอายเอ่ยไปว่า “คุณชายอย่าไปฟังวาจาเลื่อนเปื้อนของพวกเขา พวกเขาจะมีอันใดให้ขโมยกันเล่า? สองคนเมื่อครู่เป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า พวกเราต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สังกัด ไม่นานมานี้พวกเขาพยายามประจบเอาใจผู้ที่พอจะมีอำนาจในโลกบำเพ็ญเพียรอยู่เล็กน้อย ผู้ใดจะทราบว่าคนผู้นั้นกลับต้องตาข้า พวกเสองคนคิดจะให้ข้าออกเรือนกับคนผู้นั้น ข้าไม่ยินยอม ทั้งสองจึงคิดจะบังคับข้า ข้าสบจังหวะถึงหนีออกมาได้ ถูกพวกเขาตามล่าตัวด้วยเรื่องนี้”

“เดิมทีข้ามีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง แต่อาจารย์ถึงแก่กรรมไปแล้ว เหลือเพียงข้าที่ระหกระเหินอยู่ในโลกบำเพ็ญเพียรเพียงลำพัง ไร้ที่พึ่งพิง ได้พบพวกเขาเดิมทีคิดว่าพวกเขาแสนดีนัก คิดว่าได้พบคนที่ไว้วางใจได้แล้ว ถึงได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับพวกเขา ผู้ใดจะทราบว่าพวกเขากลับเป็นเดรัจฉานในคราบมนุษย์ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะเอาข้าไปแลกเปลี่ยนกับลาภยศของพวกเขา ยังมีหน้ามาบอกว่าทำไปเพราะหวังดีต่อข้าอีก หากคุณชายไม่เชื่อก็เชิญไปสอบถามดูได้เลย”

เล่าจบฝ่ายสตรีก็ล้วงเอาเหรียญทองออกมาหนึ่งเหรียญ นำไปวางไว้บนโขดหินข้างๆ อู๋ซินอย่างขลาดเขิน เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ขอบพระคุณที่ก่อนหน้านี้คุณชายไม่ได้บอกที่ซ่อนตัวของข้า มิเช่นนั้นข้าคงยากจะหนีรอดได้ ข้า…ข้าเงินทองขาดมือจริงๆ ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน มีเพียงสินน้ำใจเล็กน้อย หวังว่าคุณชายจะไม่รังเกียจ ตัวข้าม่มีความสามารถพอจะให้คำมั่นใดไว้ได้ แค่ข้าจดจำรูปโฉมของผู้มีพระคุณไว้แล้ว หากรอดพ้นเคราะห์นี้ไปได้ ในอนาคตหากมีโอกาจะกลับมาทดแทนคุณแน่นอน ขออำลา!”

นางค้อมกายเล็กน้อย ยกแขนเสื้อเชิดถูกใบหน้ามอมแมมน่าอนาถ หันหลังเตรียมจากไป

อู๋ซินที่รับฟังเงียบๆ จนจบพลันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ามีสภาวะระดับใด?”

หญิงสาวหยุดเดินแล้วหันกลับมา “น่าละอายนัก อยู่ในระดับหลอมปราณเจ้าค่ะ”

อู๋ซินถาม “พวกเขายังออกตามหาตัวเจ้าในหุบเขานี้อยู่ เจ้าไปกลัวจะเผอิญพบแล้วตกไปอยู่ในมือพวกเขาอีกหรือ”

“คุณชายโปรดวางใจ หากหลบพ้นก็จะหลบ หากหลบไม่พ้นอย่างมากก็แค่ตายเท่านั้น ไม่มีทางยอมปล่อยให้ตนตกอยู่ในมือพวกเขาได้ ถึงตายก็ไม่ยินดีรับความอัปยศนั้น พระคุณของคุณชายหากมีวาสนาจะกลับมาตอบแทนแน่นอนเจ้าค่ะ!” หญิงสาวประสานมือกล่าวอำลา หันหลังจากไปอีกครั้ง

อู๋ซินกล่าวว่า “ไปกับข้าเถอะ”

ฝ่าซือติดตามถามกลับ “หากว่าเป็นฝีมือของทางจวนผู้ว่าการมณฑลเล่า?”

ดกาเส่าหมิงชี้เขาพลางกล่าวอย่างค่อนข้างจนปัญญาว่า “หากจะลงมือก็คงไม่ลงมือกับเขา ลงมือกับเขามิสู้มาลงมือกับข้าดีกว่า ลงมือกับเขาแล้วจะมีประโยชน์ใดเล่า?ทางจวนผู้ว่าการมณฑลก็ไม่มีทางก่อปัญหาที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ขึ้นหรอก ตามหาต่อไป หากวันนี้ยังหาไม่พบก็ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางได้เลย”

“ขอรับ!” ฝ่าซือติดตามพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็สิ่งให้ลูกน้องออกไปค้นหาอีกครั้ง

ณ ประตูเมืองทิศเหนือ ถูไหวอี้ราชทูตแคว้นซ่งพร้อมคณะควบอยู่บนหลังอาชา พอมาถึงประตูเมืองก็เห็นว่าตรงประตูเมืองมีเหตุชุลมุนอยู่เล็กน้อย ทหารกลุ่มหนึ่งปิดล้อมคนผู้หนึ่งไว้ เกิดการกีดขวางทางสัญจรเข้าออก

พอเห็นเหตุการณ์ผิดปกติ กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรก็ตั้งท่าเฝ้าระวังขั้นสูงทันที เพิ่มการคุ้มกันถูไหวอี้

ถูไหวอี้หยุดม้า “ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

คนผู้หนึ่งลงจากม้าเดินเข้าไปตรวจสอบ

ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมารายงานว่า “เรียนใต้เท้าถู เป็นศิษย์หนึ่งของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ตอนออกจากเมืองไม่ทันระวังควบม้าไปชนคนเข้า กำลังทะเลากันอยู่ขอรับ”

ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์งั้นหรือ? นี่คือสำนักใหญ่แห่งแคว้นซ่ง ฉู่ไหวอวี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์อันมีเกียรติ ชนคนแล้วสมควรชดใช้ก็ชดใช้ไปเสียสิ ชดใช้ไม่ไหวรหือว่าอย่างไรถึงได้ทะเลาะกัน?”

คนผู้นั้นตอบว่า “ปัญหาคือ ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์คนนั้นบอกว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาให้เขาชน ไม่ยอมกล้ำกลืนโทสะนี้ ประกาศศักดาฐานะ ผู้ใดจะทราบว่าคนที่ถูกชนกลับเป็นข้ารับใช้ในบ้านแม่ทัพท่านหนึ่งในเมืองนี้ ทหารยามเฝ้าประตูล้วนเข้าข้างฝั่งข้ารับใช้ สถานการณ์ค่อนข้างเข้าข่ายมังกรพลัดถิ่นไหนเลยจะสู้งูเจ้าถิ่นได้”

ถูไหวอี้เอ่ยว่า “มีผู้ใดคุ้นเคยกับคนในสำนักหมื่นสรรพสัตว์บ้างหรือไม่ ไปตรวจสอบยืนยันฐานะของอีกฝ่ายที หากเป็นศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์จริง ก็ให้ใช้ชื่อข้าเข้าช่วยเหลือ หาใช่เรื่องใหญ่โตอันใดไม่”

สำหรับชาวบ้านทั่วไป การชนคนอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนเช่นเขาแล้ว ไม่นับเป็นเรื่องใดเลยจริงๆ ต่อให้ชนตายเข้า อย่างมากก็แค่จ่ายเงินนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นยังต้องการอันใดอีกเล่า?

มีคนของทางนี้ลงจากหลังม้าแล้ววิ่งเข้าไปดูทันที

ผู้ที่ไปตรวจสอบกลับมาเร็วมาก รายงานต่อถูไหวอวี้อย่างรวดเร็ว “ข้าเคยเห็นคนผู้นี้เมืองหลวงแคว้นเรามาก่อนขอรับ เป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์จริงๆ อีกทั้งมีภูมิหลังไม่ธรรมดา เป็นหลานชายของผู้อาวุโสเฉาจิ่งแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ส่วนมีนามว่าอันใดข้าก็จำไม่ได้แล้วขอรับ”

ถูไหวอี้ร้องโอ้คำหนึ่ง ค่อนข้างแปลกใจนิดๆ ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญพบหลานชายเฉาจิ่งเข้า พลันโบกมือทันที สื่อว่าให้ลูกน้อยรีบเข้าไปช่วยคลี่คลายสถายนการณ์

พอได้รับการยืนยันจากคนผู้นั้นว่าเป็นคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์จริงๆ ทหารยามเผ้าประตูเมืองก็ไม่ค่อยกล้ามีปัญหาแล้ว ประกอบกับมีทางนี้ออกหน้าเป็นฝ่ายชดใช้เงินให้เอง เรื่องจึงจบลง

ไม่นานนักคนที่ออกันอยู่ตรงประตูเมืองก็ถูกทหารยามสั่งให้แยกย้ายกันไปโดยเร็ว ลูกน้องที่เข้าไปช่วยพาชายหนุ่มคนหนึ่งที่จูงม้าอยู่เดินเข้ากลับมา เป็นเฉาเซิ่งไหวนั่นเอง

……………………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า