ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 580

สรุปบท ตอนที่ 580 มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 580 มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 580 มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 580 มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม

หากเฉาเซิ่งไหวเป็นเพียงหลานชายของเขาก็ยังพอว่า แต่อีกฝ่ายดันเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างแคว้นมาก่อน สิ่งที่พวกเขามีอย่างเดียว นั่นคือค้าขายกับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า

แต่หลานชายของเขากลับฝ่าฝืนกฎข้อนี้ แล้วจะให้ตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปอธิบายต่อคนทั้งสำนักอย่างไรเล่า?

โฉวซานเอ่ยปลอบใจ “ศิษย์พี่เฉา ตอนนี้โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าสอบถามเฉาเซิ่งไหวแล้ว เขาบังเอิญพบกับถูไหวอวี้ในช่วงที่เดินทางผ่านจินโจว ถูไหวอวี้เป็นฝ่ายเชิญให้เขาร่วมทางไปด้วยกัน ถูไหวอวี้บอกว่ารู้จักท่าน ยกเรื่องท่านมาเอ่ย เขาจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ ในช่วงที่เผชิญเหตุลอบสังหาร ตอนนั้นเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากเช่นกัน พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต บังเอิญว่าเขาเคยเห็นหน้าของมือสังหารคนหนึ่งในกลุ่มนั้นมาก่อน”

“ท่านลองคิดดูสิ ตนเองเกือบต้องตาย ไม่ว่าผู้ใดก็คงโกรธเหมือนกัน ยามนั้นมีหรือจะทนไม่เปิดเผยตัวตนมือสังหารคนนั้นได้ ในมุมมองของเขาก็คงไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น กระทั่งถึงตอนที่สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาก็รีบกลับคำทันทีว่าตนจำผิดไป แต่คณะราชทูตแคว้นซ่งกลับไม่ยอมให้เขาเปลี่ยนคำพูด เขาควบคุมตัวเขาในทันที เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนั้นขึ้น”

ซีไห่ถังเอ่ยเสียงขรึม “ถึงพวกเรารู้ว่าเขาบริสุทธ์ไปก็เปล่าประโยชน์ ราชทูตแคว้นซ่งถูกลอบสังหารในช่วงวลานั้น เห็นได้ชัดว่าคิดจะปลุกปั่นแคว้นซ่งให้เข้าแทรกแซงแคว้นเยี่ยน เฉาเซิ่งไหวดันเสนอตัวขึ้นมาในยามนั้น จะไม่ให้คนเขานึกสงสัยสำนักหมื่นสรรพสัตว์เราเลยก็คงยากแล้ว”

เฉาจิ้งเอ่ยอย่างใช้ความคิด “หากว่าเฉาเซิ่งไหวมิพูดปด ก็หมายความว่าการตายของถูไหวอวี้อาจเป็นการล้างแค้นส่วนตัวของเกาเซ่าหมิงจริงๆ”

ซีไห่ถังเอ่ยว่า “มาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? ราชสำนัก หอเทียมเมฆา โถงโลหิตเทวาและวังแยกนภาล้วนปักใจละโมบในแคว้นเยี่ยนแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมให้เฉาเซิ่งไหวเปลี่ยนคำพูดได้ง่ายๆ แน่ จะให้พวกเราเอาประเด็นนี้ไปงัดกับพวกเขาหรือ? ถึงอย่างไรสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ยังอยู่ในแคว้นซ่งนะ!”

เฉาจิ้งหัวเราะหยัน “ฮ่าๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเกาเซ่าหมิงคนนั้นแอบล้างแค้นส่วนตัว ทำให้แคว้นเยี่ยนเสียงานใหญ่ ตอนนี้กลับโยนความผิดกลับมาว่าถูกเซิ่งไหวปรักปรำ ฉวยโอกาสฟอกตัวเองให้สะอาดเอี่ยมแล้วสาดน้ำครำใส่สำนักหมื่นสรรพสัตว์เรา ข้าว่าไอ้ชาติสุนัขผู้นี้คงหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้ว นึกว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ของเราจะยอมให้รังแกได้ง่ายๆ?”

ซีไห่ถังเอ่ยเตือนทันที “เจ้าอย่าได้วู่วามเชียว เรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉาเซิ่งไหวทำให้ทางฝั่งหอเทียมเมฆาจับตามองเราแล้ว หากคนระดับพวกเราเข้าไปพันพันกับปัญหานี้ ทางวังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณคงไม่อยู่เฉยแน่ เกรงว่าหอเทียมเมฆา โถงโลหิตเทวาและวังแยกนภาของทางนี้คงอยากจะขับไล่พวกเราออกไปจากแคว้นซ่งจะแย่แล้ว รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”

โฉวซานเอ่ยว่า “และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ต่อให้ตอนนี้ทางแคว้นเยี่ยนจะทราบความจริงแล้ว พวกเขาก็คงไม่มีทางยอมให้เกาเซ่าหมิงพูดความจริงเช่นกัน ต้องยืนกรานว่าถูกเซิ่งไหวปรักปรำแน่นอน เจ้าสำนักกล่าวไม่ผิดเลย เกรงว่าตอนนี้เซิ่งไหวคงกลับมาไม่ได้แล้ว แต่ศิษย์พี่เฉาก็อย่าได้กังวลไปเลย พวกเขาคงไม่ถึงขั้นจะลงมือกับเซิ่งไหวส่งเดช ที่ตอนนี้คุมตัวเซิ่งไหวก็เพราะไม่อยากให้เขากลับคำเท่านั้น”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยอย่างชิงชัง “กลับมาเพื่ออะไร? ข้าอยากจะให้ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นตายๆ ไปเสียก็ดี!”

….

ณ วังหลวงแคว้นจิ้น บนหอสูงภายในอุทยานหลวง ไท่ซูสยงยืนเท้าราวกั้นทอดสายตามองออกไปไกล

เซ่าผิงปอเดินขึ้นมาบนหอ พอเดินมาถึงด้านหลังเขาก็คำนับพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาท”

“ทิวทัศน์ของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?” ไท่ซูสยงวาดแขนเสื้อเล็กน้อย

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “เสมือนได้ยลทั่วหล้าพ่ะย่ะค่ะ!”

“ฮ่าๆ!” ไท่ซูสยงเชิดหน้าหัวเราะดังลั่น ท่าทางสำราญอย่างยิ่ง ยิ้มหัวพลางตบสองมือบนราวกั้น “คนที่เจ้าพามาจากเป่ยโจวเหล่านั้นข้าตรวจสอบดูแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้มีความสามารถ พอลองทดสอบดูก็ยิ่งรู้ว่าล้วนเฉียบแหลมปราดเปรื่อง หากให้เวลาสักระยะต้องสร้างประโยชน์ได้มากมายแน่!”

“ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าผิงปอพูดจาถ่อมตัวเล็กน้อย แต่ในใจกลับทราบดี

คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่เขาเลือกเฟ้นมาด้วยตัวเอง ตอนที่สำเร็จการศึกษาในช่วงที่ออกไปฝึกหาประสบการณ์พื้นที่ต่างๆ ก็มีคนถูกคัดทิ้งไปหลายต่อหลายกลุ่ม ยามที่หลบหนีออกจากมณฑลเป่ยโจว คนที่ได้รับการจัดสรรให้อพยพโยกย้ายล้วนเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิอีกที ต่อให้เขาต้องหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่อาจหักใจทิ้งคนเหล่านั้นได้ แล้วจะเป็นคนที่มีความสามารถดาษดื่นไปได้อย่างไรเล่า

แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็มิใช่มณฑลเป่ยโจวที่เขามีอำนาจสั่งการได้ หลังจากจัดให้คนกลุ่มนี้ไปอยู่ตามเขตต่างๆ แล้วล้วนต้องเผชิญอุปสรรคนานาชนิด ทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ได้

ไท่ซูสยงถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ในโลกอันวุ่นวายใบนี้ ชาวบ้านราษฎรที่รู้หนังสือมีไม่มาก ส่วนลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยก็…ไหนเลยจะเฟ้นหาคนมีความสามารถมาได้มากมายปานนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนที่เจ้าสั่งสอนขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?”

เพียงเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เซ่าผิงปอก็ตระหนักได้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าอยู่กับกษัตริย์นั้นเหมือนอยู่กับพยัคฆ์ร้าย เขาเอ่ยตอบไปว่า “ในช่วงแรกเริ่มที่ก่อตั้งเป่ยโจวขึ้นมาใหม่ มีสิ่งเสื่อมโทรมมากมายที่ต้องได้รับการปฏิรูป แต่กระหม่อมขาดแคลนบุคลากรมีความสามารถ จึงจำเป็นต้องทุ่มเทกำลังและเวลาจัดตั้งสำนักศึกษาขึ้นมาเพื่อสั่งสอนพวกเขาด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”

“วิธีนี้ไม่เลวเลย ข้ากำลังวางแผนให้ให้แคว้นจิ้นทำตามบ้าง เจ้ามีประสบการณ์มาก่อน ยกให้เจ้ารับผิดชอบดีหรือไม่?” ไท่ซูสยงเอ่ยถาม

เซ่าผิงปอเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “ฝ่าบาท เป่ยโจวถูกทำลายมาก่อนแล้วถึงก่อตั้งขึ้นใหม่ ไร้แรงต่อต้าน แต่ถ้าเปิดสำนักศึกษาขึ้นทางแคว้นจิ้น หากจะคัดเลือกผู้เข้าเรียนโดยไม่ยึดติดกับขนมธรรมเนียมเดิมคงเป็นไปได้ยากมากพ่ะย่ะค่ะ ตามความเห็นของกระหม่อม ควรจะชะลอไปก่อนดีกว่า รอจนได้โอกาสเหมาะสมแล้วค่อยทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง!” ไท่ซูสยงพยักหน้านิดๆ เรื่องในตอนนั้นที่จู่ๆ ซางเฉาจงก็ได้รับม้าศึกจำนวนมากเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการปล้นชิงไปจากเซ่าผิงปอ การค้านี้ได้กำไรงามนัก ไม่ต้องเสียต้นทุนเลยแม้แต่นิดเดียว

เซ่าผิงปอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ดังนั้นการที่ให้เฉาเซิ่งไหวเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ก็เป็นเพราะฐานะภูมิหลังของเฉาเซิ่งไหว คนอื่นไม่มีทางเข้าใกล้ถูไหวอวี้ได้ หากเข้าร่วมขบวนไม่ได้ก็หมดหนทางไปเป็นพยานชี้ตัว นี่คือแผนร้ายที่สมคบคิดกันไว้แล้ว จู่ๆ เฉาเซิ่งไหวก็โผล่มากะทันหัน หากมิใช่ฝีมือหนิวโหย่วเต้าที่เล่นเล่ห์แล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีกพ่ะย่ะค่ะ?”

ทุกเรื่องที่ได้รับฟังทำให้ไท่ซูสยงอกสั่นขวัญแขวน ปล้นม้าศึก คลี่คลายวิกฤตการณ์ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ตอบโต้กลับจนทำให้เซ่าผิงปอต้องหลบหนีออกมา ปลุกปั่นให้เกิดข้อพิพาทระหว่างแคว้นซ่งและแคว้นเยี่ยน ล้วนมิใช่เรื่องง่ายๆ เลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เขี่ยสำนักหยกสวรรค์ออกจากมณฑลหนานโจว รวมไปถึงเรื่องที่รับหลานชายอวี้ชางเป็นศิษย์ด้วย

หากเปลี่ยนเป็นลูกน้องใต้บัญชาของเขา ขอเพียงทำเรื่องใดสำเร็จสักเรื่องก็ล้วนถือเป็นความดีความชอบอันใหญ่หลวง เขาต้องตกรางวัลให้อย่างงามแน่นอน แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือของคนผู้เดียว

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ซางเฉาจงมีคนผู้นี้คอยเกื้อหนุนอยู่ เป็นเหมือนดั่งพยัคฆ์ติดปีก ไม่แปลกเลยที่สามารถผงาดขึ้นมาได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี หนิวโหย่วเต้าคนนี้อันตรายเหลือเกิน หากได้ตัวมาทำประโยชน์ให้ข้ายังพอว่า มิเช่นนั้นเขาจะต้องกลายเป็นตัวปัญหาตอนที่ข้าเคลื่อนทัพสู่ฝั่งตะวันออกแน่ เก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด!”

สีหน้าเซ่าผิงปอเรียบเฉย เขาจงใจเผยเรื่องม้าศึกสามหมื่นตัวออกมา ฉวยโอกาสเผยเรื่องราวออกไปเรื่องแล้วเรื่องเล่าก็เพื่อให้ไท่ซูสยงตระหนักถึงความอันตรายของหนิวโหย่วเต้า

เขายังลงหลักปักฐานไม่มั่นคง ไม่สามารถใช้งานกำลังของแคว้นจิ้นเพื่อจัดการหนิวโหย่วเต้าได้ แต่มีคนที่สามารถใช้กำลังของแคว้นจิ้นไปจัดการได้ นั่นก็คือคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้

เพื่อสลายความคลางแคลงสงสัย เขาจึงทำเป็นเอ่ยโน้มน้าวไปว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทลงมือหรอกพ่ะย่ะค่ะ มองจากสถานการณ์ตอนนี้ ซางเจี้ยนสยงจะเป็นคนแรกที่ยอมไม่ปล่อยให้เขารอดไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”

ไท่ซูสยงส่ายหน้าพลางโบกมือ สื่อว่าไม่ได้มีความหมายเช่นนี้ เขาทอดสายตามองไปไกล เอ่ยด้วยสีหน้าเสียดาย “นับเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากอย่างแท้จริง! หากได้คนเช่นนี้มา ไหนเลยจะต้องพะวงว่าใต้หล้าจะไม่สงบสุขอีก? ข้ารู้เรื่องเขาช้าเกินไป มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม น่าปวดใจเหลือเกิน! ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างซางเฉาจงไหนเลยจะคู่ควรพอให้เขาทำงานให้? ม้าดีย่อมต้องคู่กับอานที่ดี นกย่อมต้องรู้จักเลือกไม้ทำรัง ข้าจะสู้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้นไม่ได้เชียวหรือ?”

เขาพลันหันกลับมา เอ่ยว่า “หากข้าต้องการรับเขาเข้ามา ไม่ทราบว่าผิงปอจะทนรับได้หรือไม่ ยินดีจะละวางความแค้นแต่หนหลังหรือไม่? หากว่าไม่ยินดี ข้าก็จะไม่คิดเรื่องนี้อีก”

เซ่าผิงปอพลันตีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ขอบังอาจทูลถามฝ่าพระบาท การครอบครองใต้หล้าสำคัญหรือว่าการล้างแค้นส่วนตัวสำคัญกว่าพ่ะย่ะค่ะ? เมื่อเทียบกับใต้หล้าแล้ว การสูญเสียมณฑลเป่ยโจวเพียงแห่งเดียวไปไม่นับเป็นอันใดเลย หรือว่าในสายตาฝ่าพระบาทกระหม่อมเป็นคนใจแคบถึงเพียงนั้น? ขอเพียงหนิวโหย่วเต้ายินยอมสยบต่อฝ่าพระบาท กระหม่อมก็ยินดีจะละวางแค้นแต่หนหลังกับเขา ยินดีทำงานร่วมกับเขาเพื่อรับใช้ฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

……………………………………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า