ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 59

สรุปบท ตอนที่ 59 เรื่องจริงจัง: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

อ่านสรุป ตอนที่ 59 เรื่องจริงจัง จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 59 เรื่องจริงจัง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 59 เรื่องจริงจัง

วาจานี้ทำให้ซ่งจิ่วหมิงลอบตกใจ อีกฝ่ายทราบเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งฝ่าซือติดตามให้ซางเฉาจงก็ว่าไปอย่าง แต่เหตุใดเรื่องที่หลานชายตนไปดักฆ่าหนิวโหย่วเต้าถึงได้หลุดออกไปเร็วขนาดนี้?

ถงมั่วเอ่ยขึ้นมา “สุ่ยกงกง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น คนหนุ่มทะเลาะกันเพราะความหึงหวงเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ เขาก็ได้จ่ายค่าตอบแทนอันน่าสังเวชไปแล้ว มาสืบสาวเอาเรื่องตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด มาคิดหาวิธีกันดีกว่าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”

คำพูดนี้ทำให้ซ่งจิ่วหมิงตกใจยิ่งกว่าเดิม เจ้ากรมโยธาทราบถึงขั้นที่ว่าหลานชายตนทำไปเพราะความหึงหวง เขารู้ได้อย่างไร? เขาตระหนักได้แล้วว่าสายสืบของทางฝั่งนี้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ดูเผินๆ เหมือนเจ้ากรมโยธาจะปกป้องตนอยู่ แต่ความจริงมีเจตนากระทบกระเทียบ เรียกได้ว่ากำลังตักเตือนอยู่ วันหน้าเจ้าก็ลองปิดบังดูอีกสิ!

ก่าเหมี่ยวสุ่ยยังคิดอยู่ว่าหากซักไซ้อีกสักประโยคสองประโยคจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่ เมื่อเห็นถงมั่วมีเจตนาปกป้อง จึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

“ในเมื่อเฟิ่งหลิงปอทราบถึงสิ่งนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจับตามองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปสมคบกับซางเฉาจงจนก่อปัญหาตามมาในภายหลัง ลดปัญหาลงไปหนึ่งทาง กำจัดทิ้งซะ!” ถงมั่วเอ่ยสำทับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ขอรับ!” ซ่งจิ่วหมิงค้อมกายรับคำสั่ง

ที่ส่งเฉินกุยซั่วไปก่อเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เดิมทีเพียงแค่อยากสั่งสอนถังซู่ซู่สักหน่อยเท่านั้น เนื่องด้วยเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น เขาจึงไม่เคยคิดจะลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ เลย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ไม่ทราบความจริงจึงกังวลมากเกินจำเป็น แต่เมื่อได้ทราบข่าวว่าเฟิ่งหลิงปอเกี่ยวดองกับซางเฉาจง ซ่งจิ่วหมิงก็รู้แล้วว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จบเห่จริงๆ แล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดอีก และยามนี้ก็เป็นไปตามที่คิดจริงๆ…

….

ตัวเมืองจังหวัดกว่างอี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศมงคล หลังจากจวนผู้ว่าการตีฆ้องร้องป่าวประกาศวันวิวาห์ของเฟิ่งรั่วหนาน ร้านรวงในเมืองต่างพากันติดกระดาษแดงหน้าประตูโดยไม่ต้องมีใครมาบอก บางร้านถึงขั้นที่แขวนโคมประดับพู่ด้วยซ้ำ ด้วยคาดหวังให้จวนผู้ว่าการมองเห็นความตั้งใจของตน ผู้คนบางส่วนที่กำลังจัดงานศพถึงขั้นที่ต้องจัดแบบหลบๆ ซ่อนๆ

แน่นอน เฟิ่งหลิงปอเองก็ต้องแสดงน้ำใจตอบกลับไปเช่นกัน เขาประกาศลดภาษีในปีนี้ของทั้งจังหวัดกว่างอี้ลงครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง จึงได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ

ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องลดภาษีเช่นนี้จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนัก แต่ราชสำนักเข้ามาแทรกแซงทางจังหวัดกว่างอี้ไม่ได้ อย่างไรเสียเฟิ่งหลิงปอก็ได้บ่ายเบี่ยงปฏิเสธที่จะนำส่งภาษีของจังหวัดกว่างอี้ เบื้องบนเร่งเร้ามาซ้ำๆ จังหวัดกว่างอี้ก็อ้างเรื่องความลำบากซ้ำๆ แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่นำส่ง ถึงอย่างไรราชสำนักก็ไม่เห็นบัญชีอยู่ดี ต่างฝ่ายต่างยื้อกันไปยื้อกันมา ถกเรื่องนี้ได้มิมีหน่าย ไม่มีผู้ใดยอมแตกหักก่อน

เรือนที่ซางเฉาจงพักอยู่ในขณะนี้ถูกยกให้เป็นบ้านฝ่ายชายชั่วคราวก่อน จวนผู้ว่าการออกเงินตกแต่งให้ การประดับโคมห้อยพู่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้

วันนี้คือวันวิวาห์ พ่อบ้านโซ่วเหนียนเป็นคนหนึ่งที่ยุ่งที่สุด คุมบ่าวไพร่ทำงานทั้งนอกใน เมื่อจัดการทางฝั่งจวนผู้ว่าการได้พอสมควรแล้วก็ต้องพาคนมาตรวจสอบเรือนทางนี้ด้วย ตรงไหนที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็จะเรียกคนมาจัดการในทันที เฟิ่งหลิงปอมีบุตรสาวคนเดียว แค่บังคับให้ออกเรือนก็รู้สึกผิดต่อบุตรสาวมากพอแล้ว ไม่มีทางทำให้บุตรสาวต้องคับข้องหมองใจในด้านพิธีการอีก ลงคำสั่งให้ตกแต่งจัดการอย่างงดงามอลังการ

หลังจากตรวจสอบภายในเรือนเสร็จ โซ่วเหนียนก็ได้พบกับหลานรั่วถิงที่ออกมาส่ง เขาจึงแจ้งว่าเฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยไม่สามารถกลับมาร่วมงานวิวาห์ของน้องสาวได้ หวังว่าทางนี้จะไม่ถือสา อย่างไรก็ตามพี่ชายทั้งสองยังคงส่งคนกลับมาพร้อมของขวัญชิ้นใหญ่

สำหรับเรื่องนี้หลานรั่วถิงแสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจ เฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยเดิมทีต้องคุมทัพรักษาการณ์ทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของจังหวัดกว่างอี้ ยามนี้เฟิ่งหลิงปอเกี่ยวดองกับซางเฉาจง ไม่รู้เลยว่าทางราชสำนักจะยอมแบกรับความเสี่ยงหรือไม่ ทางนี้ไม่กล้าประมาทชะล่าใจ มีแต่จะต้องยกระดับการป้องกันให้เข้มงวดขึ้น แม่ทัพไหนเลยจะกล้าปลีกตัวมาได้

พอส่งโซ่วเหนียนจากไป หลานรั่วถิงก็กลับเข้าไปในเรือนแจ้งเรื่องที่โซ่วเหนียนบอกกล่าวต่อซางเฉาจง

ซางเฉาจงตอบอืมคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องออกเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวที่จวนผู้ว่าการแล้ว เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต จะบอกว่าเขากำลังประหม่าก็ว่าได้ ที่สำคัญคือจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยพบหน้าเฟิ่งรั่วหนานเลย ได้ยินว่าเฟิ่งรั่วหนานใจร้อนดั่งไฟ เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นหนิวโหย่วเต้าเป็นคนทำ แต่ความกดดันทั้งหมดกลับตกมาอยู่ที่ตัวเขา ทว่าเขาก็ไม่อาจกล่าวโทษหนิวโหย่วเต้าได้ ถึงอีกฝ่ายจะกระทำเรื่องไร้คุณธรรม แต่เขาก็ทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณ

สามารถกระทำเรื่องไร้คุณธรรมหลอกลวงคนจนเรื่องราวล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ได้ ซางเฉาจงเองก็นับถือในตัวหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน เปลี่ยนมุมมองภาพจำที่เขามีต่อศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ใต้ชายคาฝั่งนี้กำลังกระวานกระวายอยู่ หนิวโหย่วเต้าก็ถือ ‘ไม้เท้า’ เดินนำคนสองคนเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งสาม คนหนึ่งคือหยวนกัง ส่วนอีกคนคือหยวนฟางที่หน้าตาบวมช้ำ เดินตามต้อยๆ อยู่ด้านหลังสุด

พวกซางเฉาจงทั้งสามพบว่าหลายวันมานี้บนร่างของปีศาจหมีมีบาดแผลใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน มองแวบเดียวก็คาดเดาได้ว่าถูกใครทุบตีมา เห็นได้ชัดว่าหยวนฟางคอยมองสีหน้าของหยวนกังอยู่ตลอด หากหยวนกังปรายตามองสักแวบหนึ่ง หยวนฟางจะตกใจถอยหลังไปสองก้าว ทั้งสามรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้เลยว่าปีศาจหมีตัวนี้ไปล่วงเกินอันใดหนิวโหย่วเต้าเข้าถึงได้ถูกทุบตีอยู่ทุกวัน

ส่วนเหตุใดถึงบอกว่าล่วงเกินหนิวโหย่วเต้าน่ะหรือ เหตุผลนั้นง่ายมาก หลังคลุกคลีกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหยวนกังไม่ใช่คนมากเรื่องเลย หากไม่มีคำสั่งจากหนิวโหย่วเต้า หยวนกังจะทุบตีปีศาจหมีขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งสามคาดเดาว่าปีศาจหมีคงยังไม่รู้จักหนิวโหย่วเต้ามากนัก ไม่ทราบว่าใครคือผู้บงการตัวจริง หนิวโหย่วเต้าเป็นคนที่ค่อนข้างสง่างามคนหนึ่ง ฉากหน้าดูเป็นมิตรยิ่งนัก ปีศาจหมีคล้ายอยากใกล้ชิดหนิวโหย่วเต้ามากกว่า

“วันนี้ท่านอ๋องดูสดใสจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามาพลางหัวเราะฮ่าๆ

จะไม่สดใสได้หรือ สวมชุดเจ้าบ่าวอยู่นี่! ซางเฉาจงกล่าวอย่างจนปัญญา “เต้าเหยี่ย ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นอีกเลย”

หลังจากประสบเรื่องราวบางอย่างด้วยกัน อยู่ร่วมกันอย่างสงบมาสองสามวัน ท่าทีระหว่างคนทั้งสองก็ดูปรองดองขึ้นไม่น้อย

“เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้พักผ่อนให้ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองใต้ตาดำคล้ำของเขาที่คงอยู่มาตลอดในช่วงสองสามวันนี้ วันนี้เห็นได้ชัดว่ามีการลงแป้งเล็กน้อยเพื่อปกปิดไว้

ซางเฉาจงระอาใจเขาอยู่บ้าง คนผู้นี้ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว ช่วงสองสามวันมานี้จะยกเรื่องนี้มาเอ่ยย้ำเตือนเขาวันล่ะหนึ่งครั้งเสมอ

หลานรั่วถิงยิ้มเล็กน้อย “เผชิญเรื่องสำคัญในชีวิตเป็นครั้งแรก พอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านอ๋องอยู่บ้าง ”

ทั้งสามคนเงียบไป เมื่อมาถึงจุดนี้ที่ต้องเอาชีวิตรอดจากอันตราย ถึงแม้คำพูดจะชวนกระดากละอายใจ ทว่ามิได้ไร้เหตุผลเลย เฟิ่งหลิงปอจะให้บุตรสาวติดตามซางเชาจงไปยังอำเภอชางหลูด้วยกัน อาจจะมีเจตนามาคอยจับตามอง อำนาจในการสั่งการไพร่พลต้องอยู่ในมือเฟิ่งรั่วหนานอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่ทหารเหล่านั้นจะเชื่อฟังซางเฉาจง หากทางนี้หากาทมิฬแสนตัวมาให้ไม่ได้ หากเฟิ่งรั่วหนานติดตามไปแล้วยังบีบบังคับไม่ยอมเลิกรา นั่นจะกลายเป็นปัญหายุ่งยาก ตอนนี้การสยบเฟิ่งรั่วหนานให้ได้จึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก

บังเอิญว่าในช่วงเวลานี้ด้านนอกมีคนมาเร่งรัดให้ซางเฉาจงเตรียมตัว จึงคลายความเก้อเขินให้ซางเฉาจงและซางซูชิงได้พอดี หลานรั่วถิงส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนออกไปก่อน

หลังจากสองพี่น้องจากไปแล้ว หลานรั่วถิงก็ขยับเข้าไปใกล้หนิวโหย่วเต้า “คำพูดของเต้าเหยี่ยทำให้ข้าแอบรู้สึกกังวลใจ เท่าที่สังเกตการณ์ในช่วงสองวันมานี้ เฟิงรั่วหนานใจร้อนโผงผาง ไม่มีความรู้สึกดีอันใดต่อท่านอ๋องเลย เกรงว่าเรื่องนี้คงค่อนข้างลำบาก”

หนิวโหย่วเต้ากระซิบว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้ากังวลอยู่ ช่วงเข้าหอคือโอกาสดี หากพ้นวันนี้ไปแล้ว ข้ากังวลว่าเฟิ่งรั่วหนานจะต้องไม่ยินยอมนอนร่วมห้องกับท่านอ๋องเป็นแน่ หากแยกห้องกันไปตลอดเช่นนี้ เรื่องนั้นคงมีปัญหาแน่ ขนาดตัวคนยังไม่ตกเป็นของท่านอ๋อง แล้วหัวใจจะตกเป็นของท่านอ๋องได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเดินทางไปพร้อมภาระหน้าที่ด้วย ดังนั้นคืนนี้ต้องทำให้ท่านอ๋องเผด็จศึกเฟิ่งรั่วหนานให้ได้!”

หลานรั่วถิงอดยิ้มเจื่อนขึ้นมาไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ต้องนำเรื่องนี้มาพูดคุยหารือกับคนอื่นอย่างเป็นจริงเป็นจัง เขาส่ายหน้าพลางเอ่ยถาม “หรือจะต้องให้ท่านอ๋องฝืนใช้กำลังเข้าหักหาญ?”

หนิวโหย่วเต้ากระแอมคราหนึ่ง “เข้าหอร่วมเตียง เป็นเรื่องชอบธรรมตามเหตุผล ท่านอ๋องแสดงความเป็นบุรุษตามที่พึงมีออกมาผู้อื่นจะว่าอันใดได้เล่า? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรท่านอ๋องก็มีเหตุผลทั้งสิ้น เป็นนางผู้นั้นที่ไม่รู้ความ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ท่านหลานต้องกำชับเร่งรัดท่านอ๋องให้ดี”

“เฮ้อ!” หลานรั่วถิงถอนหายใจ พยักหน้ารับคำ

เมื่อเขาจากไป เหลืออยู่เพียงหยวนกังและหนิวโหย่วเต้า จู่ๆ หยวนกังก็เอ่ยขึ้นมา “ตอนประมือในค่ายทหาร เฟิ่งรั่วหนานโจมตีเต้าเหยี่ยได้”

หนิวโหย่วเต้าทราบว่าเขาไม่มีทางพูดถึงเรื่องนี้โดยไร้สาเหตุ จึงหันไปถาม “หมายความว่ายังไง?”

หยวนกังเอ่ยตอบ “เฟิ่งรั่วหนานเป็นขุนศึกที่ดุดัน เรี่ยวแรงในการโจมตีไม่เบาเลย จากการสังเกตของผม ท่านอ๋องอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายของเขาแล้ว หากซางเฉาจงกล้าใช้กำลังบังคับร่วมหอ เกรงว่าคงถูกซ้อม อีกทั้งยากจะทำสำเร็จได้ เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นกระซิบสั่งการว่า “นายไปหาของที่ทำให้มือไม้อ่อนแรงมาหน่อยสิ”

พอหยวนกังได้ฟังก็รู้แล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงกลอกตาใส่ทีหนึ่ง “เรื่องสกปรกแบบนี้อย่ามาเรียกใช้ผม”

หนิวโหย่วเต้าถลึงตาใส่เขา “ฉันก็ไม่ทำเรื่องน่าละอายที่จะถูกคนอื่นเหยียดหยามแบบนี้เหมือนกัน เมื่อก่อนฉันจัดการคนที่ทำแบบนี้มากี่คนต่อกี่คนนายก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แล้วจะใช้นายไปทำได้ยังไง? คนจากวัดหนานซานเคยทำเรื่องทำนองนี้มาก่อน ประสบการณ์โชกโชน ในมือจะต้องมีของประเภทนี้อยู่แน่”

…………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า