ตอนที่ 60 พวกเราคือองครักษ์ของท่านอ๋อง
พอกล่าวจบ ทั้งสองก็สบตากันแวบหนึ่ง หยวนกังไม่พูดไม่จา หันหลังเดินจากไป
สายตาของหนิวโหย่วเต้าทอดมองตามไป เอ่ยพึมพำว่า “เจ้าปีศาจตัวนั้นจะถูกซ้อมอีกไหมนะ?”
ณ เรือนเล็ก เหล่าสมณะยังคงตั้งมั่นในธรรมะ ดูคล้ายยังคงรักษาวิถีชีวิตเหมือนอย่างเวลาที่อยู่วัดหนานซานเอาไว้ บ้างก็ท่องคัมภีร์ บ้างก็กวาดพื้น ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาทำความสะอาดภายในเรือน พวกเขาทำความสะอาดกันเองจนสะอาดสะอ้าน
ทันทีที่หยวนกังมา เหล่าสมณะก็มีท่าทีประหนึ่งวิหคตื่นเกาทัณฑ์ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ต่างละวางภารกิจในมือลง ทุกคนจ้องมองเขา ทุกคนรู้สึกว่าหยวนกังน่ากลัว ความน่ากลัวของผู้อื่นคืออารมณ์ที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลง แต่บนใบหน้าของคนผู้นี้กลับมองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ ไม่สามารถทำการคาดเดาใดๆ ได้เลย บทจะลงมือก็ลงมือเลย ทำเอาคนอื่นตั้งตัวไม่ทัน
ช่วงนี้พวกเขาเห็นหยวนกังมาทุบตีหยวนฟางอย่างโหดร้ายทุกวัน ทุกครั้งที่หยวนกังมา คือมาเพื่อทุบตีหยวนฟางทุบตีสองครั้งต่อหนึ่งวัน ตอนนี้เขามาอีกแล้ว วันนี้ทุบตีครบสองครั้งแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมาอีกเล่า?
เมื่อหยวนฟางทราบข่าวก็ออกมาหา จะบอกว่ามาต้อนรับก็ไม่ใช่ มิได้มาต้อนรับก็มิใช่อีก ภายในใจนึกสงสัยเช่นเดียวกัน วันนี้ทุบตีครบสองครั้งแล้วมิใช่หรือ?
เขาหวั่นวิตกหวาดผวาสุดขีด แต่ยังคงเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก้มหัวค้อมกายให้พลางเอ่ยว่า “หยวนเหยี่ย มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?” ท่าทีของเขาในเวลานี้ไม่หลงเหลือภาพลักษณ์เจ้าอาวาสผู้ทรงศีลอยู่แล้ว ทว่าด้วยสภาพใบหน้าบวมช้ำในยามนี้ก็ไม่อาจพูดถึงเรื่องภาพลักษณ์อันใดได้อีกเช่นกัน
เขาเคยเรียก ‘เจ้าลิง’ ตามหนิวโหย่วเต้า หลุดปากเรียกไปสองครั้งก็ถูกทุบตีทั้งสองครั้ง จึงเปลี่ยนคำเรียกเสียใหม่
“ตามมาหน่อย” หยวนกังเปล่งวาจา เดินเฉียดผ่านเขาไป ตรงเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง ซึ่งก็คือห้องที่เคยใช้ทุบตีหยวนฟางครั้งแรก
หยวนฟางอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าเข้าไป แต่เขาก็ทนกับนิสัยที่พอไม่สบอารมณ์ก็ลงไม้ลงมืออย่างโหดร้ายทารุณของอีกฝ่ายไม่ไหวเช่นกัน ทั้งหมัดทั้งเท้าหนักหนาสาหัสเหลือเกิน เขามิกล้าชักช้าโอ้เอ้ ฝืนข่มใจรีบเดินตามเข้าไป ปัง! ประตูถูกปิดแล้ว
สมณะรูปอื่นที่อยู่ในเรือนต่างมองหน้ากัน สายตาจับจ้อง เงี่ยหูฟังเสียง บางรูปเริ่มนับลูกประคำในมือสวดภาวนาให้เจ้าอาวาส
ทุกคนต่างเป็นห่วงเจ้าอาวาส ต่อให้เป็นปีศาจ แต่ก็คงจะทนรับการทุบตีทุกวันไม่ไหวกระมัง?
คล้ายว่าการสวดภาวนาจะเห็นผล ภายในห้องเงียบสงบยิ่งนัก ไม่ปรากฏเหตุการณ์อย่างที่ทุกคนกังวลขึ้น
แต่ไม่นานภายในห้องก็มีเสียงตื่นตระหนกของหยวนฟางแว่วออกมา “หยวนเหยี่ย ข้าทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้”
“เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าพูดอีกทีสิ?”
“เรื่องนั้น…หยวนเหยี่ย ข้าไม่มีของแบบนั้นจริงๆ ผัวะ! อ๊าก…”
ทุกคนขนลุกชันทันที เสียงชกต่อยอย่างรุนแรงที่คุ้นเคยกันดีปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ควบคู่มากับเสียงโหยหวนของหยวนฟาง
“หยวนเหยี่ย อย่าใช้มีด อย่าใช้มีด จะมีคนตายเอาได้นะขอรับ”
“เจ้าใช่คนหรือ?”
“หยวนเหยี่ย มีขอรับ ข้ามี!”
“คงไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม?”
“ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ ข้ามี มีแน่นอน หากพูดปดแม้ครึ่งคำ ท่านเชือดข้าได้เลย!”
“จัดการให้สำเร็จได้หรือไม่?”
“ไว้ใจข้าได้เลย หยวนเหยี่ยรอฟังข่าวดีจากข้าก็พอ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว ข้าจะหิ้วศีรษะมาพบท่าน!”
สถานการณ์ภายในห้องคล้ายจะกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเสียงงึมงำแว่วออกมาเป็นครั้งคราว ผ่านไปครู่หนึ่งแว่วเสียงเปิดประตูดังแอ๊ด หยวนกังเดินออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาวเท้าก้าวจากไป
กระทั่งเงาร่างของหยวนกังหายลับไปจากเรือนเล็กแล้ว เหล่าสมณะต่างวิ่งกรูไปที่ประตูห้อง มองเห็นหยวนฟางกำลังนั่งเช็ดเลือดกำเดาอยู่ตรงมุมห้อง สภาพน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าโศกเศร้าหม่นหมอง เหล่าสมณะพากันวิ่งเข้าไปหา หรูฮุ่ยผู้ควบคุมเรือนบุริมทิศและหรูหมิงผู้ควบคุมเรือนประจิมทิศต่างเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา ประคองไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง
หรูหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เจ้าอาวาสได้รับความลำบากก็เพราะพวกเรา!”
“ไม่เป็นไร!” หยวนฟางเช็ดเลือดกำเดา มองคราบเลือดแดงฉานที่ดูสะดุดตาบนมือ เอ่ยด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “ไอ้ลิงตัวนั้นรังแกกันเกินไปแล้ว! ชายชาตรีต้องรู้จักหลีกหนีปัญหาที่อยู่ตรงหน้า บัญชีแค้นนี้ข้าจดไว้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วข้าจะถลกหนังมัน เลาะเส้นเอ็นมันออกมา…”
จู่ๆ ด้านนอกพลันมีเสียง ‘แกรก’ ดังแว่วมา หยวนฟางสะดุ้งโหยงราวกับโดนดาบแทงก้น ลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าหวาดผวา
เหล่าสมณะต่างตกใจเพราะเสียงนี้เช่นกัน นึกว่าหยวนกังย้อนกลับมา ผลคือสมณะรูปหนึ่งที่เฝ้าอยู่นอกประตูตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “วางไม้กวาดไว้ไม่ดีเลยล้มลงมา!”
“ฟู่ว!” เหล่าสมณะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หยวนฟางพนมมือ “อมิตาภพุทธ จิตมารกำเนิด พุทธองค์จึงตักเตือน บาปกรรม บาปกรรม!”
“อมิตาภพุทธ!” เหล่าสมณะต่างพนมมือ สรรเสริญนามพุทธองค์
หยวนฟางปล่อยสองมือลง กวาดตามองใบหน้าของทุกคนที่มุงล้อมอยู่ กวักมือเรียกทุกคน สื่อว่าให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ เขาเช็ดเลือดกำเดาพลางเอ่ยกระซิบ “มีภารกิจด่วนที่ต้องรีบจัดการ มิเช่นนั้นลิงหายนะตัวนั้นจะมาหาเรื่องพวกเราอีก ครานี้เขาพูดจาโหดเหี้ยมนัก…”
…….
ภายในตัวเมืองมีเสียงดนตรีประโคมไปตลอดทาง ซางเฉาจงสวมชุดแดงคาดช่อแพรนั่งอยู่บนหลังอาชาร่างสูงใหญ่ องครักษ์ที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาต่างถือถุงเงินไว้คอยโปรยเหรียญทองแดงให้เหล่าชาวบ้านสองข้างทาง จึงได้รับเสียงอวยพรชื่นชมยินดีตลอดทาง
จวนผู้ว่าการครึกครื้นอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยแขกเหรื่อมิตรสหาย ผู้ที่มีวาสนาได้เข้าไปในจวนล้วนเป็นบุคคลมีหน้ามีตาของจังหวัดกว่างอี้ คหบดีทั่วไปแม้จะส่งของขวัญล้ำค่ามาร่วมยินดีก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เข้าไป มีการจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งด้านนอกจวนไว้สำหรับพวกเขา
นอกจากกองทหารที่ต้องระดมกำลังเฝ้าระวังรอบทิศทางแล้ว เหนือหลังคาจวนผู้ว่าการก็มีคนยืนผลุบๆ โผล่ๆ เช่นกัน สอดส่ายสายตาเฝ้าระวังความปลอดภัยทั้งภายนอกและภายในจวนผู้ว่าการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า