ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 61

สรุปบท ตอนที่ 61 ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่มาแต่งกับข้า: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 61 ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่มาแต่งกับข้า – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 61 ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่มาแต่งกับข้า ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 61 ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่มาแต่งกับข้า

คู่บ่าวสาวมาถึงแล้ว!

องครักษ์ของซางเฉาจงที่อยู่ทางนี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์เหมือนบรรดาแขกผู้มีเกียรติทางฝั่งจวนผู้ว่าการ เมื่อซางเฉาจงลงจากม้า จูงเจ้าสาวลงจากเกี้ยว ทุกคนร้อง “เฮ้!” ขึ้นมาทันที พากันวิ่งกรูเข้าไปหา

ทหารในกองทัพตั้งแต่บนจรดล่างไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายเหมือนเหล่าขุนนาง ผู้บังคับบัญชาที่ดีจะไม่วางอำนาจใส่ลูกน้อง บางครั้งต้องปฏิเสธคำขอของลูกน้องอย่างเข้มงวด แต่บางครั้งก็ต้องผ่อนคลายกันบ้าง ยามที่ลงคำสั่งอย่างเข้มงวดอยู่ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ยามที่ผ่อนคลายก็อยู่ในฐานะสหายพวกพ้อง ยกตัวอย่างเช่นยามที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงขั้นที่ลงไปกอดคอกับทหารชั้นผู้น้อยเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นสถานการณ์ที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่กล้านึกถึงเลย การล้อมวงอยู่กับลูกน้องคุยโวโอ้อวดกัน กินข้าวร่วมวงกับลูกน้อง ช่วยคีบอาหาร ยื่นน้ำให้ลูกน้อง หรือแพ้เดิมพันแล้วยอมให้ลูกน้อยเอาหมึกป้ายหน้า ล้วนเป็นเรื่องปกติทั้งสิ้น

ซางเฉาจงติดตามเรียนรู้อยู่ข้างกายบิดามาตั้งแต่เด็ก ได้รับอิทธิพลมาเช่นกัน ย่อมไม่มีทางวางท่ากับลูกน้อง

เมื่อได้รับเสียงโห่ร้องยินดีจากพวกพ้อง เขาได้แต่ประสานมือร้องขอความเห็นใจซ้ำๆ

เหล่าองครักษ์ส่วนใหญ่ล้วนเพิ่งเคยพบเจ้าสาวเป็นครั้งแรก แต่พอมองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่านอ๋องแล้ว ต่างอึกอักพูดไม่ออก พระชายาที่บึกบึนเช่นนี้เกรงว่าใต้หล้านี้คงมีเพียงหนึ่งเดียว!

หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ในศาลาข้างภูเขาจำลองมองฉากนี้ด้วยรอยยิ้ม หยวนกังเดินเข้ามาหยุดข้างกายเขาอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ ยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งใส่มือเขา เขาหันมองแวบหนึ่ง หยวนกังผงกหัวให้นิดๆ หนิวโหย่วเต้าฉีกยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม หันกลับมาชมเรื่องครื้นเครงต่อ

“อุ้มเข้าหอเลย!” ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดในกลุ่มทหารที่ตะโกนขึ้นมา

ทุกคนตอบรับทันที ชูไม้ชูมือร้องตะโกน “อุ้มเข้าหอ! อุ้มเข้าหอ!”

หลานรั่วถิงโบกมือปรามอยู่หลายครั้งทว่าไม่เป็นผลเลย ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ตลอดการเดินทางมานี้ ยากนักที่เหล่าทหารจะได้ผ่อนคลายรื่นเริงสักครา เขาเองก็ไม่สะดวกจะไปบังคับขัดขวางความสุขของทุกคนได้

ซางเฉาจงประสานมือขอความเห็นใจก็ไม่ได้ผลเช่นกัน ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อสองข้าง หมายจะอุ้มเฟิ่งรั่วหนานเข้าห้องหอตามเสียงตะโกนของเหล่าทหาร

แต่ใครจะทราบเล่าว่าเฟิ่งรั่วหนานเหมือนมีตางอกอยู่นอกผ้าคลุมหน้า นางวาดเท้าออกมา เตะเข้าที่น่องของซางเฉาจงดังพลั่ก! คล้ายบาทาไร้เงา

ซางเฉาจงซวนเซ เกือบจะล้มลงเพราะลูกเตะนี้ โชคดีที่กลุ่มคนรอบข้างช่วยพยุงเขาไว้

เฟิ่งรั่วหนานแสดงเจตนาชัดเจนว่าไม่อยากให้ซางเฉาจงแตะเนื้อต้องตัว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากร่วมวงครื้นเครงกับทุกคน

บรรยากาศเงียบสงัดลงทันที กลุ่มองครักษ์ที่เพิ่งโห่ร้องกันอย่างคึกคักก็เงียบลงเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นทหารชั้นผู้น้อย แต่ก็ยังแยะแยกเรื่องความสัมพันธ์ได้ว่าอะไรคือใกล้ชิดอะไรคือห่างเหิน ต่างมีความรู้สึกเฉียบไวทั้งสิ้น เหล่าองครักษ์ที่ล้อมวงอยู่ค่อยๆ ถอยออกไป เปิดทางให้อย่างเงียบงัน แต่ละคนมีสีหน้าประดักประเดิดอยู่บ้าง บรรยากาศครื้นเครงพลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ซางซูชิงเห็นฉากนี้แล้วพูดไม่ออก หลานรั่วถิงมองฉากนี้แล้วขมวดคิ้ว

น่องของซางเฉาจงถูกเตะจนเจ็บ แต่พอเห็นปฏิกิริยาของพวกพ้องที่อยู่รอบข้างแล้ว เขากลับปวดใจยิ่งกว่า นี่คือคนที่ยอมถวายชีวิตติดตามเขา!

เขาหันขวับ มองไปทางเฟิ่งรั่วหนานด้วยความโกรธ คว้าข้อมือเฟิ่งรั่วหนานแล้วกระชากเข้ามา

เฟิ่งรั่วหนานทำได้เพียงสะบัดมือดิ้นรนเล็กน้อย อาจเป็นเพราะอยู่ในกองทัพเหมือนกัน มีความเข้าอกเข้าใจในเรื่องบางอย่างเช่นกัน บรรยากาศที่เงียบงันลงอย่างฉับพลันเพราะลูกเตะของนางคล้ายจะทำให้นางตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นจึงมิได้ต่อต้านเท่าไรนัก เมื่อถูกซางเฉาจงอุ้มช้อนตัวขึ้นมาก็มีดิ้นรนเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ!

“เข้าห้องหอ!” ซางเฉาจงตวาดกร้าวอย่างห้าวหาญ อุ้มเฟิ่งรั่วหนานสาวเท้าเดินออกไป

“เฮ้!” เหล่าองครักษ์พลันโห่ร้องขึ้นมา ท่านอ๋องห้าวหาญนัก สยบสตรีนางนี้ได้ ไม่ต้องกังวลอันใดแล้ว!

กลุ่มองครักษ์ตามห้อมล้อมซางเฉาจง ปรบมือพลางโห่ร้องยินดี ซ้ำยังมีคนผิวปากหยอกเย้าด้วย เรียกได้ว่าครื้นเครงยิ่งนัก

แต่ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าเฟิ่งรั่วหนานที่เอนซบอยู่ในอ้อมแขนและถูกบุรุษอุ้มเป็นครั้งแรกนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง

“เจ้าดูแคลนท่านอ๋องไปเสียแล้ว กำลังแขนของเขายอดเยี่ยมนัก!” หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในศาลาหัวเราะเยาะอย่างมีความสุข

หยวนกังที่อยู่ด้านข้างมองซางเฉาจงด้วยสายตาที่เจือแววชื่นชมอยู่บ้าง

หลังจากอุ้มเฟิ่งรั่วหนานเข้าไปในห้องหอเรียบร้อยแล้ว ซางเฉาจงก็เดินออกมาอีกครั้ง โบกมือให้เหล่าทหาร ประกาศเสียงดังก้อง “ดื่มให้เต็มที่ กินให้เต็มคราบ เริ่มงานเลี้ยงได้!”

“เฮ้!” เหล่าองครักษ์โห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง ห้อมล้อมซางเฉาจงแล้วพาออกไป พาเสียงหัวเราะเฮฮาจากไปด้วย คืนความสงบให้เรือนเล็ก

ทั้งบนหลังคาและสถานที่ที่อยู่ในมุมสูงรอบเรือนเล็กมีกลุ่มคนคอยสอดส่องไปรอบด้าน ไป๋เหยาผู้กอดกระบี่ไว้ในอ้อมแขนก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นด้วย สายตาเย็นชาค่อยๆ กวาดมองไปรอบทิศ…

…….

ในงานเลี้ยงฉลองสมรส เหล่าองครักษ์โก่งคอตะเบ็งเสียงดังลั่น ชนจอกรินสุราสังสรรค์ครื้นเครง ทั้งการนั่งการยืนไม่มีการสำรวมใดๆ อีก เพราะมีความสุขกันมากจริงๆ

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงสาเหตุความเป็นมาของงานแต่ง เมื่อเฟิ่งรั่วหนานก้าวเข้าประตูมา เรื่องราวทั้งหมดก็นับว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรทุกคนต่างทราบกันดี แม้เส้นทางอนาคตจะยังเลือนลาง แต่ยามนี้จิตใจที่ตึงเครียดในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงเสียที

เหล่าทหารเดินสวนกันไปมาในงานเลี้ยง เจ้าคารวะข้า ข้าคารวะเจ้า เสียงดังโหวกเหวก ซางเฉาจงเดินไปทางไหนก็ถูกบรรดาลูกน้องรั้งตัวไว้ดื่มสุรา

ยากจะปฏิเสธคำขอได้ แต่ก็มีความสุขอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากซางเฉาจงคล้ายจะรู้สึกผิดที่ก่อนหน้านี้ทำให้พวกพ้องต้องลำบาก ดังนั้นพอผู้ใดยื่นจอกสุราให้ก็ไม่ปฏิเสธ ใจถึงอย่างยิ่ง

ซางซูชิง หลานรั่วถิง หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน หยวนฟางก็อยู่ในโต๊ะนี้ด้วย เป็นหนิวโหย่วเต้าที่ตั้งใจเรียกเขามาจากโต๊ะของเหล่าสมณะวัดหนานซานให้มานั่งด้วยกัน ได้มีศักดิ์นั่งเสมอพวกเขา ทำให้หยวนฟางรู้สึกปลาบปลื้มอยู่บ้าง รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าช่างเป็นคนดีจริงๆ หากนำหยวนกังมาเทียบกับหนิวโหย่วเต้า คนหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นฟ้า ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเหวเลยทีเดียว

เมื่อเห็นเหล่าทหารดึงตัวซางเฉาจงไปดื่มสุรา หนิวโหย่วเต้ามองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยกจอกสุราขยับตะเกียบคีบอาหารเป็นครั้งคราว

เขาก็มีความอยากอาหารเช่นกัน แต่มิได้ละโมบ เขาไม่มีทางกินอย่างตะกละตะกลาม ถึงแม้พฤติกรรมตามปกติจะค่อนข้างทำอะไรตามใจตัวเอง ทว่าเขากลับมีความสำรวมตนอยู่ ต่อให้มีความสุขแค่ไหนก็ไม่มีทางปล่อยตัว เป็นคนมีความยับยั้งชั่งใจในระดับหนึ่ง

ไป๋เหยาที่ยืนอยู่บนหลังคามองไปทางห้องหอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายวูบไหว ลอยลงมาตรงหน้าประตูห้องหอ เงี่ยหูฟังเล็กน้อย

ไม่จำเป็นต้องตั้งใจฟังก็ได้ยิน ด้านในคือเสียงต่อสู้อย่างแน่นอน มีเสียงเตะต่อยแหวกอากาศ มีเสียงข้าวของเครื่องใช้จำพวกถ้วยชามโต๊ะเก้าอี้ถูกทุบทำลาย

ไป๋เหยาคิดจะเปิดประตูเข้าไป แต่ก็กลัวจะเห็นฉากอนาจารไม่เหมาะไม่ควรเข้า จึงตะโกนอยู่ด้านนอก “รั่วหนาน เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงเยาะหยันของเฟิ่งรั่วหนานแว่วมาจากด้านใน “ท่านอาไป๋ ท่านไม่ต้องยุ่ง กล้าดียังไงมาทำรุ่มร่ามกับข้า คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่มาแต่งกับข้า!”

“…” ไป๋เหยาพูดไม่ออก มีใครพูดเหลวไหลแบบนี้ในงานวิวาห์บ้าง เขาเอ่ยเสียงเข้ม “รั่วหนาน อย่าก่อเรื่องในวันวิวาห์!”

เฟิ่งรั่วหนานหัวเราะเสียงใสพลางเอ่ยว่า “ท่านอาไป๋ ด้านในนี้คือห้องหอ ข้าไม่ได้สวมเสื้อผ้านะ ท่านอย่าเข้ามานะ!” เสียงหัวเราะนั้นดูสาแก่ใจนัก ในที่สุดความคับข้องหมองใจในหลายวันมานี้ก็ได้โอกาสคิดบัญชีแล้ว

มือของไป๋เหยาที่กำลังจะผลักประตูเข้าไปพลันหยุดชะงัก ไม่ทราบเช่นกันว่าเฟิ่งรั่วหนานพูดจริงหรือเท็จ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคำลวง แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้เขาเข้าไปแทรกแซง แต่ถ้าหากไม่ได้สวมเสื้อผ้าอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็น่ากระดากนัก แต่มีจุดหนึ่งที่แน่ใจได้ เฟิ่งรั่วหนานลงมือพลางพูดคุยไปด้วยได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นต่ออยู่ จะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน ส่วนซางเฉาจงที่ยุ่งสาละวนจนแบ่งสมาธิมาพูดคุยไม่ได้ย่อมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่

เขารู้จักฝีมือของเฟิ่งรั่วหนานดี เป็นขุนพลผู้ดุดันในสนามรบ คนทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางจริงๆ ซางเฉาจงคนนี้ก็คาดว่าจะไม่ไหวเช่นกัน

ไป๋เหยาปวดหัว ตะโกนเข้าไปว่า “รั่วหนาน หยุดก่อเรื่อง รู้ขอบเขตหน่อย!”

“ท่านอาไป๋วางใจได้ ข้าไม่เล่นงานเขาถึงตายหรอก หากตายไปข้าคงแก้ตัวกับท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้เหมือนกัน แต่วันนี้ข้าต้องทำให้เขาหลาบจำ บุตรชายหนิงอ๋องแล้วอย่างไรเล่า?” เฟิ่งรั่วหนานแค่นเสียงเย้ยหยัน

ไป๋เหยายกมือตบหน้าผาก แต่เมื่อเฟิ่งรั่วหนานรับรองเช่นนี้ เขาเองก็เบาใจขึ้น ขอแค่อย่าก่อเรื่องจนวุ่นวายใหญ่โตก็พอ

เหวินซินและเหวินลี่มองหน้ากัน นี่ท่านเขยกำลังถูกทุบตีอยู่หรือ?

ผ่านไปสักพัก หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังที่ได้รับข่าวจากหยวนฟางก็วิ่งเข้ามา หลานรั่วถิงและซางซูชิงที่ได้รับรายงานจากองครักษ์ก็มาถึงแล้วเช่นกัน

บนกระดาษกรุหน้าต่างห้องหอ แสงเทียนวูบไหวไปมา มีเงาคนเคลื่อนไหวต่อสู้ตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง

ซางซูชิงตะโกนถามด้วยความร้อนใจ “เสด็จพี่ เกิดอะไรขึ้น?”

นางเพิ่งเอ่ยจบ การต่อสู้ภายในห้องก็หยุดลงเช่นกัน ทว่ามีเสียงกระฟัดกระเฟียดด้วยความโมโหของซางเฉาจงแว่วออกมา “ปล่อย! ปล่อยข้านะ!”

เสียงเยาะเย้ยของเฟิงรั่วหนานแว่วขึ้นมา “อยู่นิ่งๆ ถ้าขยับอีก เชื่อหรือเปล่าว่าข้าจะหักแขนเจ้าซะ!”

………………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า