ตอน ตอนที่ 591 ปล่อยชิงชิงนะ จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 591 ปล่อยชิงชิงนะ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 591 ปล่อยชิงชิงนะ
ว่ากันตามตรงแล้ว หอเลือนสลัวก็คือหน่วยงานที่เชี่ยวชาญการจัดการพวกหัวโจกที่ไม่ยอมทำตามกฎ
แต่แน่นอน ถึงแม้จะไม่กลัว แต่ทางแคว้นเยี่ยนก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเช่นกัน มิเช่นนั้นก่อนที่หอเลือนสลัวจะจัดการตัวปัญหาเช่นนี้ได้ ตัวปัญหานี้ก็ยังคงสร้างภัยคุกคามได้ไม่น้อย สังหารฮ่องเต้ไม่ได้ แต่ใต้เบื้องบาทองค์ฮ่องเต้ยังคงมีโอรสธิดาและเหล่าขุนนางใหญ่ที่เป็นรากฐานของการปกครองอยู่ ยอดฝีมือของสามสำนักหลักไหนเลยจะมีมากพอติดตามคุ้มกันทุกคนได้ ดังนั้นยอดฝีมือระดับนี้คิดอยากจะสังหารใครทิ้งก็ยังคงง่ายดายนัก หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดอยากจะล่วงเกินบุคคลเช่นนี้จนดำเนินไปสู่ความตาย
“อาจารย์จงโปรดวางใจ อันที่จริงทางราชสำนักมีเจตนาดี ฐานะของจงเหยียนหลิงเปิดเผยออกไปแล้ว ราชสำนักออกหน้าเข้าปกป้องก็เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาจากปากคน หากมีผู้ใดคิดจะว่ากล่าวอันใด ราชสำนักสามารถชี้แจงต่อภายนอกได้ทุกเมื่อว่าเขาได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักมานานแล้ว หลังจบเรื่องหากว่าอาจารย์ยินดี ราชสำนักสามารถแต่งตั้งให้เขามีตำแหน่งหน้าที่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรคนสองคนคอยติดตามคุ้มกันก็นับว่าปกติ แต่แน่นอน หากอาจารย์จงไม่ยินยอมก็พาเขาจากไปได้ทุกเมื่อ ราชสำนักเองก็ไม่อยากจะล่วงเกินอาจารย์เช่นกัน” ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยอย่างสุภาพ
จงหยวนขบกรามจนแก้มตึง ในใจเรียกได้ว่านึกเสียใจสุดขีด ไม่สมควรหลงละเมอละเลือนจนทิ้งจุดอ่อนไว้เลย ถูกคนถ่อยกลุ่มหนึ่งเอามาข่มขู่เสียได้
สมัยก่อนหลงนึกว่าชั่วชีวิตตนคงไร้ห่วงอาลัยแล้ว ผู้ใดจะทราบว่าสุดท้ายกลับบังเอิญพบพานสตรีนางหนึ่งที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้ ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งออกมา นั่นก็คือจงเหยียนหลิง ภายหลังบุตรชายก็ได้ให้กำเนิดหลานชายและหลานสาวแก่เขาอีกหลายคน
ด้วยพลังสภาวะของเขาย่อมไม่ขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเพียร อีกทั้งไม่อยากถูกคนอื่นผูกมัดคอยทำงานรับใช้ใครอีก เขาจัดการวางแผนไว้ให้บุตรชายคนนั้นอย่างเงียบๆ ก็เพราะเกรงว่าจะถูกคนกุมจุดอ่อนแล้วนำมาข่มขู่ได้ ผู้ใดจะทราบว่าสุดท้ายยังคงมีข่าวรั่วไหลออกไปอยู่ดี
บุตรชายและหลานชายหลานสาวล้วนตกอยู่ในมือของอีกฝ่ายแล้ว ส่วนเขาก็ไม่สามารถหักใจทอดทิ้งไม่ไยดีได้
จะนึกเสียใจก็สายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดอีก “พูดพล่ามให้มันน้อยๆ หน่อย หากกล้าผิดคำพูด ข้าจะเด็ดหัวเจ้าเป็นคนแรก!”
“ได้ ขอเพียงอาจารย์ทำสำเร็จ แซ่ก่าก็ขอใช้หัวตนเป็นประกัน!” ก่าเหม่ยวสุ่ยประสานมือคำนับ จากนั้นก็ทำท่าผายมือเชื้อเชิญต่อ
จงหยวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่เฝ้ามองอยู่อีกฝั่งของลำธาร
….
“ให้ระดับล่างเตรียมตัวเสีย ดำเนินการไปตามปกติเถอะ”
ณ สำนักเซียนสถิต พอหยวนกังมาถึง หลังจากเจ้าสำนักเฟ่ยฉางหลิวได้ยินคำพูดของหยวนกังก็โบกมือส่งสัญญาณให้ศิษย์ที่ฟังอยู่ด้านข้างไปดำเนินการทันที
หยวนกังที่สะพายดาบสามคำรามไว้ด้านหลังกลับเอ่ยต่อว่า “อย่าได้ชักช้า ระดมกำลังทั้งหมดออกมา ดำเนินการทันที เจ้าสำนักโปรดลงไปควบคุมรูปขบวนด้วยตัวเอง!”
เฟ่ยฉางหลิวขมวดคิ้วกล่าวไปว่า “หยวนกัง มีศิษย์บางส่วนในสำนักที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ บางส่วนก็มีภาระหน้าที่ของตน แค่ไปประจำตำแหน่งก็พอ แต่อย่าให้เกินไปนักเลย”
นับตั้งแต่ปีนั้นที่สามสำนักย้ายมาอยู่ทางนี้ หยวนกังก็มักจะทำสิ่งที่เรียกว่า ‘การฝึกซ้อม’ อยู่เป็นประจำ ซ้อมว่าหากมีคนบุกเข้ามาโจมตีสมควรจะตั้งค่ายป้องกันคฤหาสน์กระท่อมฟางอย่างไร มีการจำลองแผนกรฝึกซ้อมต่างๆ ขึ้นมา
อันที่จริงสามสำนักหงุดหงิดกับการกระทำนี้ แต่ด้วยเห็นแก่หน้าหนิวโหย่วเต้า สามสำนักทำได้เพียงยอมให้ความร่วมมือไปเท่านั้น พอผ่านไปนานวันเข้าก็เคยชินจนกลายเป็นเรื่องปกติไป อีกทั้งพอจะจับจุดได้แล้ว ก็แค่ต้องส่งคนไปฝึกด้วยอย่างขอไปทีเท่านั้น
แต่จู่ๆ ก็มาวางท่าดุดันใส่ ทำให้เขารู้สึกยากจะรับไหว ให้ส่งคนทั้งสำนักออกไปมากมายปานนี้ วิ่งไปวิ่งมาเหมือนฝูงลิงมันน่าสนุกนักหรือ?
น้ำเสียงของหยวนกังแข็งกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าสำนักเฟ่ย นี่คือคำสั่งที่เพิ่งได้รับมาจากเต้าเหยี่ย ให้ดำเนินการทันที ผู้ชักช้าให้สังหารทิ้ง!”
พวกลุงเฉินและอู๋เหล่าเอ้อร์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังหยวนกังต่างจ้องเขม็ง วันนี้พวกเขารับหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยให้หยวนกัง
เฟ่ยฉางหลิวตกใจขึ้นมาทันที ลุกออกมาจากที่นั่งแล้วเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
หยวนกังกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องถามมาก เมื่อถึงเวลาย่อมได้รู้เอง”
อยู่ใกล้ชิดกันมานาน เฟ่ยฉางหลิวก็เข้าใจอุปนิสัยของหยวนกังแล้วเช่นกัน พูดจาขวานผ่าซาก เป็นคนประเภทที่ทำให้คนฟังแล้วอึดอัดใจ แต่เมื่อเคยชินแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ เขาเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ยยังอยู่ในคฤหาสน์หรือไม่? ข้าจะไปพบเขา”
หยวนกังเอ่ยว่า “เจ้าอยากจะไปพบข้าก็ไม่ขวาง แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้สักประโยค คนอย่างเต้าเหยี่ยนบางครั้งก็เจรจาง่ายนัก แต่บางครั้งก็เลือดเย็นไร้เมตตา หากเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกเต้าเหยี่ยนเชือดสังหารเป็นเยี่ยงอย่าง เดินเข้าไปแล้วต้องถูกหามออกมา อย่างนั้นเจ้าก็ลองดูได้ เจ้าจะไปลองดูหรือไม่ไม่สำคัญ แต่อย่าทำให้สำนักเซียนสถิตต้องพลอยเดือดร้อนกันไปหมดดีกว่า รีบสั่งให้ศิษย์สำนักเซียนสถิตทั้งหมดเข้าประจำตำแหน่งเดี๋ยวนี้จะดีกว่า หากชักช้าไปแม้แต่น้อย ข้ารับประกันได้ว่าสำนักเซียนสถิตจะไม่มีที่ยืนในหนานโจวอีกต่อไป!”
เอ่ยมาถึงขนาดนี้แล้ว เฟ่ยฉางหลิวก็ไม่กล้ายืดเยื้ออีกต่อไป ปัญหาคือต่อให้ดำเนินการไปก็เพียงยุ่งยากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่ได้เสียหายอันใดเลย
ไม่นานนัก ศิษย์สำนักเซียนสถิตทั้งหมดก็ยกโขยงออกมา จากนั้นเฟ่ยฉางหลิวถึงได้พบว่ามิใช่แค่สำนักเซียนสถิตของเขาเท่านั้น แต่ศิษย์ของสำนักคีรีพิลาสและสำนักเมฆาล่องต่างล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
….
คนภายในคฤหาสน์กระท่อมฟางก็เริ่มพากันเคลื่อนไหวแล้ว
บนอาคารที่สูงที่สุดในคฤหาสน์ หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ที่ชั้นบนสุด ชายในชุดลายดอกยืนอยู่ด้านข้าง เหลยจงคังและต้วนหู่ก็อยู่ด้วย ยกมือไพล่หลังกวาดมองไปทั่ว
ซางซูชิงเดินขึ้นมาด้านบน ร้องเรียก “เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมอง เห็นซางซูชิง แล้วก็เห็นอิ๋นเอ๋อร์ที่กอดกล่องอาหารเดินตามซางซูชิงมาพลางเคี้ยวหงุบหงับด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ อีกทั้งมองเห็นก่วนฟางอี๋ที่เดินตามหลังมา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเอ่ยถาม “หงเหนียง เจ้าไม่ได้แจ้งต่อท่านหญิงเหรอว่าให้นางและพวกหงจวงไปซ่อนตัวด้วยกัน?”
ที่ไม่ปล่อยให้ซางซูชิงมาอยู่ร่วมกับเขาย่อมมีเหตุผลอยู่ หนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นคือถ้ามีอันตรายขึ้นมาจริงๆ ครั้งนี้อีกฝ่ายพุ่งเป้าที่เขา ไม่มีทางไปเสียเวลาทำอะไรคนอื่นๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินปรมาจารย์อวี้ชางด้วย ทันทีที่ทำสำเร็จต้องล่าถอยไปแน่นอน ซางซูชิงอยู่รวมกับพวกหงจวงแม่ลูกกลับจะปลอดภัยมากกว่า
แต่ทางกลับกัน คนที่อยู่ข้างกายตัวเขากลับมีอันตรายมากกว่า
จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็หันมาอีกครั้ง เดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าซางซูชิง สายตาหลุบต่ำลง สบตากับซางซูชิงในระยะประชิด “ท่านคือท่านหญิง หากท่านต้องการจะอยู่ที่นี่ กระหม่อมก็ไม่สะดวกจะบังคับท่าน แต่ท่านเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ดีว่าทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น กระบี่ในมือท่านไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์เท่านั้น ซ้ำจะกลายเป็นภาระด้วย หากท่านอยากจะอยู่ก็ย่อมได้ แต่ทันทีที่ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว ข้าสั่งให้ท่านจากไป ท่านก็ต้องเชื่อฟังเช่นกัน เข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงขบริมฝีปาก อีกฝ่ายยอมถอยให้แล้ว นางรู้ดีว่าหากไม่ตอบตกลงเกรงว่าคงจะไล่นางออกไปเสียเดี๋ยวนี้ จึงได้แต่พยักหน้าตอบไปว่า “ตกลง!”
หนิวโหย่วเต้ารีบเอียงคอส่งสัญญาณให้ก่วนฟางอี๋เล็กน้อย
ก่วนฟางอี๋เข้าใจเจตนาของเขา ทันทีที่สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม นางต้องรับผิดชอบพาซางซูชิงหนีไป จึงพยักหน้าให้อย่างรู้ความ
ดวงตาของชายในชุดลายดอกคล้ายจะมีความกังวลอันใดอยู่ มักจะเหลือบมองไปที่ใบหน้าของซางซูชิงเป็นครั้งคราว
หวงเลี่ยเดินขึ้นอาคารมา กวาดสายตามองคนบนอาคารง ผงกศีรษะทักทายซางซูชิงก่อน จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “น้องหนิว ได้ยินว่าของขวัญชิ้นใหญ่มาถึงแล้ว ข้าแทบอดใจรอไม่ไหว มาเพื่อชมด้วยโดยเฉพาะ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “น่าจะใกล้มาถึงแล้ว เจ้าสำนักหวงโปรดคอยสักครู่”
“ได้!” หวงเลี่ยพยักหน้า รอมานานหลายวัน จะต้องคอยอีกสักครู่จะเป็นไรไป ยิ่งไปว่านั้นคือมีถ้อยคำจะกล่าว เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า “เรื่องที่น้องหนิวบอกเมื่อวานว่าจะย้ายไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ข้าช่วยคิดแทนน้องหนิวแล้ว คิดว่าน้องหนิวอย่าไปที่จวนผู้ว่าการจะดีกว่า”
ซางซูชิงที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วผงะไป เผยสีหน้าตั้งใจแอบฟังออกมา
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเอ่ยไปว่า “หรือว่าเจ้าสำนักหวงอยากให้ข้ารีบๆ ตายไปใจแทบขาดแล้ว?”
“เฮ้อ ดูเจ้าพูดเข้าสิ หาใช่ไม่!” หวงเลี่ยโบกมือเอ่ยไปว่า “เพื่อความปลอดภัยของน้องหนิว น้องหนิวไปพักที่สำนักเขามหายานของข้าดีกว่า ที่นั่นมีศิษย์ยอดฝีมือของสำนักเขามหายานเราอยู่พร้อมหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมืออาวุโสประจำการอยู่ด้วย มีความปลอดภัยมากกว่าจวนผู้ว่าการ ข้าจัดการเช่นนี้ น้องหนิวคงจะวางใจได้กระมัง”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ปฏิเสธ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นไป “ระยะนี้ข้าได้ข่าวมา มีคนบอกมาว่าเป็นเพราะข้าต้องการย้ายเข้าจวนผู้ว่าการ ทำให้สำนักเขามหายานไม่พอใจ จึงสมคบกับราชสำนักร่วมมือกันจากภายนอกและภายในเพื่อสังหารข้า เจ้าสำนักหวงคิดเห็นเช่นไร”
พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ซางซูชิงก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา หรือว่าเรื่องในวันนี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักเขามหายาน?
สีหน้าของศิษย์สำนักเขามหายานตึงเครียดขึ้นมาทันที ล้วนเหลียวมองไปรอบๆ ทันที ด้วยกังวลว่าที่เชิญมาในครานี้จะมีเล่ห์กลแอบแฝงอยู่
ระหว่างที่หวงเลี่ยกวาดมองรอบข้างอย่างระแวดระวังก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ใครกันที่พูดจาเหลวไหลเช่นนี้? น้องหนิว วาจายุแยงเช่นนี้เจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
“ข้าย่อมไม่เชื่อ เจตนาดีของเจ้าสำนักหวงที่เชิญข้าไปพักในสำนักเขามหายานข้าขอรับไว้ด้วยใจ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนไม่พอใจจนทำให้คนนอกฉวยโอกาส และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของแซ่หนิว แซ่หนิวตัดสินใจแล้วว่าจะยุติเรื่องย้ายเข้าจวนผู้ว่าการลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่ไปแล้ว! แซ่หนิวจะพักอยู่ในคฤหาสน์กระท่อมฟางหลังนี้ต่อไป เจ้าสำนักหวงคงพอใจแล้วกระมัง?”
……………………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า