ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 592

ตอนที่ 592 จู่โจมกะทันหัน

เมื่อวาจานี้แว่วเข้าหูก็ตีความไปได้สารพัด กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานก็ไม่ทราบเช่นกันว่าควรจะยึดถือวาจานี้เป็นจริงเป็นจังได้หรือไม่

ถึงแม้หวงเลี่ยจะไม่อยากให้หนิวโหย่วเต้าย้ายไปพักในตัวมณฑล แต่ก็รับรู้ได้ว่าวาจานี้ของอีกฝ่ายคล้ายเอ่ยไปด้วยความโมโห เขากดสองมือลงพลางกล่าวว่า “น้องหนิว ไยต้องมีโทสะด้วย ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่นเลยจริงๆ ที่เชิญน้องหนิวไปพักยังสำนักเขามหายานของพวกเราก็เพราะใคร่ครวญถึงความปลอดภัยของน้องหนิวอย่างแท้จริง อย่าหวั่นไหวเพราะข่าวลือเลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็เพราะอาจจะเป็นข่าวลือถึงไม่อาจปล่อยให้คนเขาทำสำเร็จได้ วาจาที่เคยเอ่ยเชื้อเชิญสำนักเขามหายานมายังหนานโจวในครานั้น ตอนนี้ข้ายังขอยืนยันคำเดิมกับเจ้าสำนักหวงต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง ขอให้สำนักเขามหายานโปรดวางใจได้เลย ผลประโยชน์ในหนานโจวจะตกเป็นของสำนักเขามหายาน ข้าจะไม่รับส่วนแบ่งแม้แต่ครึ่งเสี้ยว จะรักษาไว้เพียงสิ่งที่ข้าสมควรมี ไม่มีทางล้ำเส้นก้าวก่ายในหนานโจวเด็ดขาด”

การที่เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน ไม่ว่าจะมาจากใจจริงหรือไม่ แต่กลุ่มคนของสำนักเขามหายานได้ฟังแล้วย่อมสบายใจ

หวงเลี่ยถอนหายใจเอ่ยไปว่า“ข้าย่อมเชื่อถือในคำพูดของน้องหนิว ไม่จำเป็นต้องยืนยันซ้ำเลย ข้าไว้ใจในตัวน้องหนิว”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ที่ข้าเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ก็เพราะหวังว่าสำนักเขามหายานจะรักษาคำสัญญา ไม่ทำตัวได้คืบจะเอาศอกในหนานโจวจนบีบให้ข้าเข้าตาจน!”

หวงเลี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ไยจึงกล่าวถึงเรื่องบีบให้เข้าตาจนเล่า? สำนักเขามหายานพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ต้องร่วมปกป้องสถานการณ์ในปัจจุบันของหนานโจวไปพร้อมกับน้องหนิวอยู่แล้ว”

ขอเพียงเป็นคนมีปัญญาก็ล้วนแต่ทราบดี สำนักเขามหายานไม่แน่ว่าจะเชื่อถ้อยคำของหนิวโหย่วเต้าไปเสียทั้งหมด ในอนาคตสำนักเขามหายานก็ไม่แน่ว่าจะรักษาคำพูด ตอนนี้ล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องประนีประนอมกันไว้ ภาษิตกล่าวไว้ว่าเสือสองตัวไม่อาจอยู่ร่วมถ้ำกันได้ ท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ซุ่มหาโอกาสอยู่แน่นอน จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มอีกฝ่ายเอาไว้ สถานการณ์ภายในมณฑลหนานโจวถึงจะสงบลงได้ แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเอ่ยวาจารื่นหูรักษาน้ำใจอีกฝ่ายเอาไว้

….

ภายในป่า เฟ่ยฉางหลิวมองเหล่าศิษย์ที่ดักซุ่มอยู่ในป่าเขาตามที่เคยฝึกซ้อมในยามปกติด้วยสีหน้าตึงเครียด แนวป้องกันหดตัวเข้ามาอยู่ในด่านสุดท้ายแล้ว

ส่วนใหญ่แล้วตามการฝึกซ้อมที่ผ่านๆ มา ล้วนจะตั้งวงล้อมอยู่ในพื้นที่แถบนี้ แต่ตอนนี้กลับสั่งให้กำลังคนหดอาณาเขตเข้ามาอยู่ในแถบพื้นที่ศูนย์กลาง ละทิ้งแนวป้องกันด้านนอกแล้ว

“ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวจากใต้ดิน!” จู่ๆ อูเซ่าฮวนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงเตือนขึ้นมา

ตูม! ชั้นดินที่อยู่ตรงตีนเขาพลันพังถล่ม มองเห็นกองกำลังกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา เป็นกองทัพที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ทำเอาทุกคนพากันตกใจ

เหล่าศิษย์ของสำนักเซียนสถิตยังไม่ทันตั้งตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงตูมๆ ก็แว่วดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชั้นดินบริเวณตีนเขาทรุดตัวลงไปไม่หยุด ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมากมาย มีกองกำลังพุ่งขึ้นมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า มารวมตัวกันอยู่ตรงตีนเขาดั่งกระแสน้ำหลาก

พวกเฟ่ยฉางหลิวพากันมึนงง มีการขุดทางใต้ดินไว้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? กำลังคนก็ดูเหมือนจะมีมากมายเหลือเกิน

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ กองกำลังที่พุ่งออกมาส่วนใหญ่ล้วนถือเครื่องไม้เครื่องมือสารพัดชนิดไว้

ทันทีที่กองกำลังโผล่ออกมา เครื่องไม้เครื่องมือที่ถูกแยกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ก็ประกอบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว หน้าไม้กลขนาดเท่ารถม้าถูกประกอบขึ้นมาอันแล้วอันเล่า ถูกประกอบติดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของเหล่าศิษย์สำนักเซียนสถิต ความเคลื่อนไหวช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง

กองกำลังที่ทยอยปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นต่างแบกหอกเหล็กกล้าวิ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง วางเรียงสุมกันไว้ข้างหน้าไม้กล กลุ่มคนที่ประกอบหน้าไม้กลเสร็จสิ้นแล้วต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ ง้างสายหน้าไม้เส้นอวบหนาแล้วบรรจุหอกเหล็กห้าเล่มเรียงต่อกันเป็นแถว ทันทีที่ทำการโจมตี หอกเหล็กห้าเล่มจะพุ่งออกไปพร้อมกัน

หน้าไม้กลสามคันจัดเป็นหนึ่งกลุ่ม ตั้งเรียงกันเป็นแถวหน้ากลางหลัง หน้าไม้กลจำนวนมากตั้งเรียงเป็นแถวตามลำดับเช่นนี้ แน่นขนัดอยู่ทั่วแถบตีนเขา

คนของสำนักเซียนสถิตเคยเห็นกองทัพป้องกันฝึกซ้อมใช้สิ่งนี้มาแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าในที่แห่งนี้จะซุกซ่อนหน้าไม้กลเอาไว้มากมายขนาดนี้ นี่ต้องใช้เงินไปมากมายขนาดไหนกัน? ประกายเยียบเย็นของหอกเหล็กที่ขึ้นสายเรียงไว้เป็นแถวๆ นั้นทำให้คนหนาวสะท้านอยู่ในใจ

เมื่อยิงเจ้าสิ่งนี้ออกไปอาจจะสามารถเจาะกำแพงเมืองได้เลย เป็นอาวุธสงครามที่ใช้ในยามบุกตีเมือง ทั้งสามารถโจมตีสะกดทหารรักษาเมืองไว้ และทำให้ทหารฝ่ายบุกโจมตีมีโอกาสปีนป่ายไปตามหอกเหล็กขึ้นสู่กำแพงเมืองได้ หากหอกนี้ยิงโดนร่างคนก็อย่าหวังเลยว่าจะรอด

อันที่จริงแม้แต่กองกำลังป้องกันที่เฝ้าอยู่ที่นี่เองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าที่นี่มีหน้าไม้กลซุกซ่อนอยู่มากมายขนาดนี้ หยวนกังแอบจัดเตรียมของเหล่านี้เอาไว้นานมากแล้ว เขาวาดภาพชิ้นส่วนต่างๆ เอาไว้ แล้วให้ช่างฝีมือผลิตส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นมาตามรูปอย่างเข้มงวด จากนั้นแอบนำมาเก็บไว้ในอุโมงค์ลับ พอถึงเวลาก็สามารถนำออกมาประกอบได้ทุกเมื่อ ยามปกติจะนำชิ้นส่วนเพียงส่วนหนึ่งออกมาให้กองกำลังป้องกันได้ใช้ฝึกซ้อมเท่านั้น

ด้านหลังของแนวป้องกันหน้าไม้กล มีการจัดกองกำลังตั้งขบวนอยู่เป็นกลุ่มๆ ทั้งหมดล้วนเป็นพลธนูทั้งสิ้น แต่ละคนหยิบศรออกมาจากกระบอก ขึ้นศรเอาไว้ แต่ยังไม่ได้น้าวสาย หัวศรหันลงพื้น รอฟังคำสั่งโจมตี

มีเงาคนจำนวนหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่ภายในป่า เป็นพวกหยวนกังที่กลับมาจากการลาดตระเวนดูพื้นที่รอบข้าง ลุงเฉินจับแขนหยวนกังไว้แล้วพาเหินทะยาน

พอเฟ่ยฉางหลิวเจอหน้าหยวนกังก็ถามทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“มีคนต้องการโจมตีพวกเรา” หยวนกังเอ่ยประโยคเดียวก็เดินลงไปเลย มุ่งหน้าไปหาซูเจี๋ยเหรินที่รับผิดชอบบัญชาการกองกำลังป้องกันในแถบนี้

ซูเจี๋ยเหรินที่กำลังออกคำสั่งอยู่เห็นหยวนกังเดินเข้ามา จึงประสานมือคำนับทันที “หยวนเหยี่ย”

ทั้งสองต่างคุ้นเคยกันดี รู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว เขาคือคนที่ติดตามหยวนกังไปส่งจดหมายยังวัดหนานซานในปีนั้น ปัจจุบันนี้ตำแหน่งเลื่อนสูงขึ้นตามสถานะของซางเฉาจง กลายเป็นผู้บัญชาการทหารหนึ่งกองพล ซางเฉาจงส่งซูเจี๋ยเหรินมารับผิดชอบเฝ้าระวังที่นี่ ซึ่งนี่ก็เป็นความต้องการของหยวนกัง

“เตรียมการพร้อมหมดแล้วกระมัง?” หยวนกังถาม

“เตรียมพร้อมหมดแล้วขอรับ หยวนเหยี่ยโปรดวางใจ ต่อให้มีทัพใหญ่นับแสนบุกมา ขอเพียงมีเจ้าพวกนี้อยู่ ก็อย่าหวังว่าจะทะลวงด่านป้องกันของพวกเราไปได้ง่ายๆ!” ซูเจี๋ยเหรินชี้หน้าไม้กลที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้วยสีหน้าเปี่ยมความมั่นใจ จากนั้นก็เอ่ยอย่างค่อนข้างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ขนย้ายติดตามกองทัพใหญ่ได้ลำบาก”

หยวนกังเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ หน้าไม้กลมากมายขนาดนี้ต่อให้สามารถแยกชิ้นส่วนขนย้ายได้ แต่ก็ยังเป็นภาระหนักอึ้งอยู่ดี ลำพังแค่หอกเหล็กกล้าจำนวนมากก็เป็นภาระไม่น้อยแล้ว ขนย้ายในระยะทางสั้นๆ ยังพอไหว แต่หากติดตามกองทัพในระยะยาว อาศัยเพียงแรงคนไม่มีทางไหวแน่นอน หากไม่มีกำลังในการขนย้ายมากพอก็ขนส่งได้ลำบาก กลายเป็นภาระถ่วงความเร็วในการเดินทัพของขบวนทัพใหญ่

หยวนกังถาม “ไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นกระมัง?”

ซูเจี๋ยเหรินตอบว่า “น่าจะไม่ขอรับ ทิ้งทหารหลายร้อยคนไว้คอยลาดตระเวนรอบๆ ตามปกติแล้ว หากมองจากภายนอกไม่มีทางพบเห็นพิรุธอันใด”

พอเขาได้รับข่าวจากหยวนกังก็ไม่มีความลังเลใดๆ สั่งให้ดำเนินการตามรูปแบบที่เคยฝึกซ้อมมาทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า