ตอนที่ 66 นกกระเรียนในฝูงไก่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ในตัวเมืองนางตามหาเฒ่าเคราขาวคนนั้นไม่พบ ถึงหาพบนางก็ยังไม่มีทางลงมือในเวลานั้นอยู่ดี
นางรู้แก่ใจดี ถึงแม้นางจะถูกข่มเหงในเรื่องนั้น แต่ในสายตาของคนทั้งโลก สามีภรรยามีสัมพันธ์กันนับเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างมาก หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ คนที่ผิดกลับจะกลายเป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดช่วยออกหน้าให้นาง กลายเป็นว่าบิดามารดาจะห้ามไม่ให้นางก่อเรื่องแทน แต่พอออกนอกเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว นางมีอำนาจทหารอยู่ในมือ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนาง จะจัดการอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับนาง!
ที่ไม่พบตัวเฒ่าเคราขาวคนนั้นในคฤหาสน์ นางคิดว่าอีกฝ่ายคงไปซ่อนตัวแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่กระโตกกระตาก ด้วยกลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงทนรอต่อไป พอถึงเวลาเคลื่อนขบวนออกจากเมือง ตาเฒ่าคนนั้นก็ต้องเผยตัวออกมาอยู่ดีมิใช่หรือ?
พฤติกรรมของเหวินลี่และเหวินซินผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เดินไปเดินมาเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วอยู่ภายในขบวน คอยสำรวจดู
หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นแล้ว คอยหันไปมองเป็นครั้งคราว หลังผ่านไปสักพัก เขาเอ่ยถามหยวนกังที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าหมีไปอยู่ไหนแล้ว?”
หยวนกังตอบ “คนหน้าดำในแถวรองสุดท้าย”
หนิวโหย่วเต้าเหลียวหน้ากลับไปมอง ก่อนจะมองเห็นคนหน้าดำผู้หนึ่งจริงดั่งว่า สวมใส่ชุดทหารองครักษ์ ปะปนอยู่ในกลุ่มองครักษ์ หากหยวนกังไม่เตือน เขาก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นเจ้าหมีตัวนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปถามหยวนกังอีกครั้ง “เขาทาอะไรไว้บนหน้า?”
หยวนกังอธิบาย “เขาบอกว่าถูกผมซ้อมจนบาดเจ็บ เลยต้องพอกยาไว้…แต่ความจริงมันคือซีอิ๊วที่ทางโรงครัวหมักไว้ ถ้าเข้าไปใกล้ๆ จะได้กลิ่นซีอิ๊ว”
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ยิ้มออกมา “สัญชาตญาณระวังภัยของเจ้าหมีตัวนี้เยี่ยมไปเลย แค่มองโลกแคบไปหน่อยนึง แต่ว่ากล้าทำได้ทุกอย่าง”
หยวนกังไม่ปริปากพูดอะไรอีก แต่ในใจกลับทราบดี นับว่าได้รู้จักนิสัยมันแล้ว ปีศาจหมีตัวนั้นดูเหมือนจะภักดี ความจริงกลับกลอกเจ้าเล่ห์ มันตระหนักถึงอันตรายได้แต่แรกแล้ว ปากอ้างว่าโกนหนวดเพราะปฏิญาณไว้แล้วว่าหากวัดหนานซานไม่รุ่งเรืองจะไม่ยอมไว้หนวดเครา มายืมชุดองครักษ์โดยอ้างว่าถูกเขาทุบตีจนเสื้อผ้าฉีกขาดไม่มีชุดใส่ เอาซีอิ๊วมาทาหน้าแล้วอ้างว่าพอกยาเพราะบาดเจ็บ คิดจะหลบซ่อนตัวจากบัญชีแค้นของเฟิ่งรั่วหนาน ซ้ำยังคิดจะใช้ท่าทางซื่อสัตย์ภักดีหลอกพวกเขาให้ตายใจ หากมิใช่เพราะเต้าเหยี่ยเตือนไว้ เขาจึงคอยแอบจับตามองมาโดยตลอด เกรงว่าเขาคงถูกปีศาจตัวนี้หลอกต้มไปแล้ว
ส่วนเหตุใดปีศาจหมีตัวนี้ถึงแสร้งจงรักภักดีกับพวกเขาน่ะหรือ เพียงแค่ลองคิดดูก็พอจะเดาได้แล้ว นั่นเพราะอีกฝ่ายคิดจะหลอกให้ทางนี้ตายใจคลายความระแวง รอคอยโอกาสหลบหนี
หยวนกังกำลังรอดูอยู่ รอดูว่าปีศาจหมีตัวนี้จะเล่นลูกไม้อะไร ดูว่าเขาจะพาเหล่าสมณะยี่สิบรูปนั้นหลบหนีไปอย่างไร
หากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงตอนนี้หยวนกังไม่ได้ถือว่ารู้สึกไม่ดีอะไรกับหยวนฟาง ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เขาเคยลองทดสอบดู เปิดช่องให้หยวนฟางหลบหนี แต่กักตัวเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานเอาไว้ ผลคือหยวนฟางไม่ได้ฉวยโอกาสหลบหนีไปเพียงลำพัง หลังจากออกไปซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาอย่างว่านอนสอนง่าย
หลังจากนั้น หยวนกังก็ตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดเหล่าสมณะถึงไม่ยอมทิ้งหยวนฟางไปทั้งๆ ที่สามารถทำได้ตอนอยู่ที่วัดหนานซาน หากแต่ยอมติดตามมาเสี่ยงอันตรายกับหยวนฟาง เขารู้ว่าหยวนฟางไม่ใช่คนดีอะไร แต่อีกฝ่ายก็มีส่วนดีอยู่ คนที่ท่องไปบนโลกอย่างแท้จริงต่างทราบดีว่าบนโลกนี้มีสิ่งเย้ายวนอยู่มากมาย ยามเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต้องพึ่งพามิตรสหาย ต้องเชื่อใจจนสามารถฝากฝังความเป็นความตายของกันและกันได้ บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเท่าคำว่า ‘จริงใจ’ สองพยางค์นี้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ขอเพียงจริงใจ คงอยู่ชั่วนิรันดร์!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นด้วยกับคำพูดของเต้าเหยี่ยอยู่ในใจ ปีศาจหมีตัวนี้นอกจากเรื่องที่มีปัญหาด้านมุมมองการใช้ชีวิตกับมุมมองด้านการให้คุณค่านิดหน่อยแล้ว พื้นฐานนับว่าใช้ได้เลย มีพรสวรรค์ขัดเกลาได้ ดึงให้กลับมาอยู่ในลู่ในทางได้
พวกซางเฉาจงย่อมสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของทางเฟิ่งรั่วหนานเช่นกัน เพียงแต่ไม่เข้าใจว่ากำลังหาอะไรอยู่…
……
ครืน! ฟ้าร้องดังสนั่น
สภาพอากาศไม่เป็นใจ ตอนที่ออกจากเมืองดวงตะวันยังส่องแสงจ้าอยู่ ทว่าเดินทางได้ไม่ถึงครึ่งวันก็มีเมฆครึ้มปกคลุม ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง จากนั้นหยาดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วเริ่มตกโปรยปรายลงมา ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสายฝนหนาแน่น
ขบวนม้าพลันเร่งความเร็วขึ้น วิ่งห้อท่ามกลางสายฝน มุ่งหน้าไปยังจุดพักม้าแห่งหนึ่งที่อยู่ถัดไป เนื่องจากไม่ได้นำสัมภาระจำพวกกระโจมติดมาด้วยเลย ทว่าจุดพักม้าระหว่างทางล้วนมีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว ช่วงแรกๆ ที่ฝนตกหนักหยวนฟางยังใช้พลังสกัดกั้นได้ ไม่ให้ฝนกระทบโดนตัว แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็ทนรับสายฝนที่ซัดโหมลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ไหว พลังของเขาสกัดกั้นสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องได้ไม่ทัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมรับการชำระล้างจากสวรรค์อย่างอับจนหนทาง
จุดพักม้าอยู่เบื้องหน้า ขณะกำลังจะเข้าไปถึง พายุฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน พริบตาเดียวเมฆดำทะมึนก็ลอยจากไป ลอยล่องไปยังทิศทางอื่น
หยวนฟางที่อยู่บนหลังม้าเงยหน้ามองท้องนภาสีครามสดใส พึมพำกับตัวเอง “พุทธองค์หนอ!”
จุดพักม้าในจังหวัดกว่างอี้เลิกขึ้นตรงต่อราชสำนักมานานแล้ว รับใช้เพียงเฟิ่งหลิงปอเท่านั้น
จุดพักม้าได้รับสารด่วนจากจุดพักม้าก่อนหน้านี้ ทราบว่าคณะเดินทางของเฟิ่งรั่วหนานใกล้จะเดินทางมาถึงทางนี้แล้ว พอเห็นฝนตกหนัก เจ้าพนักงานทั้งหมดของจุดพักม้าก็ลงมือกันทันที นำกระโจมออกมากางด้านนอก จุดพักม้าแห่งนี้ก็ทราบดีว่าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ คณะของเฟิ่งรั่วหนานคงจะไม่มีทางหยุดพักที่นี่ แต่ถ้าฝนตกเช่นนี้ก็ไม่แน่
ทว่าเพิ่งตั้งกระโจมไปได้ไม่กี่หลัง ท้องฟ้าก็สดใสแล้ว
ส่วนสาเหตุที่ต้องตั้งกระโจม เป็นเพราะจุดพักม้ามีพื้นที่จำกัด รองรับไพล่พลหลักพันไม่ได้ พวกเฟิ่งรั่วหนานที่เป็นเจ้านายย่อมได้เข้าพักในเรือน แต่ทหารชั้นผู้น้อยไม่สามารถเข้าไปพักข้างในทั้งหมดได้
เฟิ่งรั่วหนานกำลังจะมา ต่อให้ปกติแล้วคนในจุดพักม้าจะเกียจคร้านกันปานใด ยามนี้ย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ หากจัดการไม่ดีหัวจะขาดเอาได้ เมื่อเห็นฝนหยุด หัวหน้าจุดพักม้าก็สั่งการให้ลูกน้องรีบต้มน้ำขิงทันที แม้นจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่สายฝนในฤดูใบผลิก็ยังทำให้ผู้คนหนาวเย็นได้ ซ้ำยังขี่ม้าโต้ลมกันมาอีก
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หลังจากหัวหน้าจุดพักม้าลงคำสั่งไปได้ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็แว่วเข้ามา ขบวนม้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา เสียงม้าร้องเริ่มแว่วดังอยู่ด้านนอกเป็นพักๆ ขบวนม้าชะลอหยุดลงด้านนอก ทหารม้าสิบกว่าคนเข้ามาตรวจสอบในจุดพักม้าก่อน
เฟิ่งรั่วหนานไม่ได้สวมชุดเกราะ หากแต่แต่งกายด้วยชุดสตรี เสื้อผ้าที่เปียกชื้นลู่แนบร่าง มาตรว่าร่างกายนางจะกำยำบึกบึน แต่ส่วนเว้าส่วนโค้งตามประสาสตรียังคงมีอยู่ แม้นจะเป็นรูปร่างขนาดใหญ่ แต่ก็ยังสะดุดตาอยู่บ้าง เหวินซินจึงเอาเสื้อคลุมกันลมมาห่อตัวนางไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า