ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 66

สรุปบท ตอนที่ 66 นกกระเรียนในฝูงไก่: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปตอน ตอนที่ 66 นกกระเรียนในฝูงไก่ – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

ตอน ตอนที่ 66 นกกระเรียนในฝูงไก่ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 66 นกกระเรียนในฝูงไก่

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ในตัวเมืองนางตามหาเฒ่าเคราขาวคนนั้นไม่พบ ถึงหาพบนางก็ยังไม่มีทางลงมือในเวลานั้นอยู่ดี

นางรู้แก่ใจดี ถึงแม้นางจะถูกข่มเหงในเรื่องนั้น แต่ในสายตาของคนทั้งโลก สามีภรรยามีสัมพันธ์กันนับเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างมาก หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ คนที่ผิดกลับจะกลายเป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดช่วยออกหน้าให้นาง กลายเป็นว่าบิดามารดาจะห้ามไม่ให้นางก่อเรื่องแทน แต่พอออกนอกเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว นางมีอำนาจทหารอยู่ในมือ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนาง จะจัดการอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับนาง!

ที่ไม่พบตัวเฒ่าเคราขาวคนนั้นในคฤหาสน์ นางคิดว่าอีกฝ่ายคงไปซ่อนตัวแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่กระโตกกระตาก ด้วยกลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงทนรอต่อไป พอถึงเวลาเคลื่อนขบวนออกจากเมือง ตาเฒ่าคนนั้นก็ต้องเผยตัวออกมาอยู่ดีมิใช่หรือ?

พฤติกรรมของเหวินลี่และเหวินซินผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เดินไปเดินมาเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วอยู่ภายในขบวน คอยสำรวจดู

หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นแล้ว คอยหันไปมองเป็นครั้งคราว หลังผ่านไปสักพัก เขาเอ่ยถามหยวนกังที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าหมีไปอยู่ไหนแล้ว?”

หยวนกังตอบ “คนหน้าดำในแถวรองสุดท้าย”

หนิวโหย่วเต้าเหลียวหน้ากลับไปมอง ก่อนจะมองเห็นคนหน้าดำผู้หนึ่งจริงดั่งว่า สวมใส่ชุดทหารองครักษ์ ปะปนอยู่ในกลุ่มองครักษ์ หากหยวนกังไม่เตือน เขาก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นเจ้าหมีตัวนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปถามหยวนกังอีกครั้ง “เขาทาอะไรไว้บนหน้า?”

หยวนกังอธิบาย “เขาบอกว่าถูกผมซ้อมจนบาดเจ็บ เลยต้องพอกยาไว้…แต่ความจริงมันคือซีอิ๊วที่ทางโรงครัวหมักไว้ ถ้าเข้าไปใกล้ๆ จะได้กลิ่นซีอิ๊ว”

หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ยิ้มออกมา “สัญชาตญาณระวังภัยของเจ้าหมีตัวนี้เยี่ยมไปเลย แค่มองโลกแคบไปหน่อยนึง แต่ว่ากล้าทำได้ทุกอย่าง”

หยวนกังไม่ปริปากพูดอะไรอีก แต่ในใจกลับทราบดี นับว่าได้รู้จักนิสัยมันแล้ว ปีศาจหมีตัวนั้นดูเหมือนจะภักดี ความจริงกลับกลอกเจ้าเล่ห์ มันตระหนักถึงอันตรายได้แต่แรกแล้ว ปากอ้างว่าโกนหนวดเพราะปฏิญาณไว้แล้วว่าหากวัดหนานซานไม่รุ่งเรืองจะไม่ยอมไว้หนวดเครา มายืมชุดองครักษ์โดยอ้างว่าถูกเขาทุบตีจนเสื้อผ้าฉีกขาดไม่มีชุดใส่ เอาซีอิ๊วมาทาหน้าแล้วอ้างว่าพอกยาเพราะบาดเจ็บ คิดจะหลบซ่อนตัวจากบัญชีแค้นของเฟิ่งรั่วหนาน ซ้ำยังคิดจะใช้ท่าทางซื่อสัตย์ภักดีหลอกพวกเขาให้ตายใจ หากมิใช่เพราะเต้าเหยี่ยเตือนไว้ เขาจึงคอยแอบจับตามองมาโดยตลอด เกรงว่าเขาคงถูกปีศาจตัวนี้หลอกต้มไปแล้ว

ส่วนเหตุใดปีศาจหมีตัวนี้ถึงแสร้งจงรักภักดีกับพวกเขาน่ะหรือ เพียงแค่ลองคิดดูก็พอจะเดาได้แล้ว นั่นเพราะอีกฝ่ายคิดจะหลอกให้ทางนี้ตายใจคลายความระแวง รอคอยโอกาสหลบหนี

หยวนกังกำลังรอดูอยู่ รอดูว่าปีศาจหมีตัวนี้จะเล่นลูกไม้อะไร ดูว่าเขาจะพาเหล่าสมณะยี่สิบรูปนั้นหลบหนีไปอย่างไร

หากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงตอนนี้หยวนกังไม่ได้ถือว่ารู้สึกไม่ดีอะไรกับหยวนฟาง ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เขาเคยลองทดสอบดู เปิดช่องให้หยวนฟางหลบหนี แต่กักตัวเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานเอาไว้ ผลคือหยวนฟางไม่ได้ฉวยโอกาสหลบหนีไปเพียงลำพัง หลังจากออกไปซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาอย่างว่านอนสอนง่าย

หลังจากนั้น หยวนกังก็ตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดเหล่าสมณะถึงไม่ยอมทิ้งหยวนฟางไปทั้งๆ ที่สามารถทำได้ตอนอยู่ที่วัดหนานซาน หากแต่ยอมติดตามมาเสี่ยงอันตรายกับหยวนฟาง เขารู้ว่าหยวนฟางไม่ใช่คนดีอะไร แต่อีกฝ่ายก็มีส่วนดีอยู่ คนที่ท่องไปบนโลกอย่างแท้จริงต่างทราบดีว่าบนโลกนี้มีสิ่งเย้ายวนอยู่มากมาย ยามเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต้องพึ่งพามิตรสหาย ต้องเชื่อใจจนสามารถฝากฝังความเป็นความตายของกันและกันได้ บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเท่าคำว่า ‘จริงใจ’ สองพยางค์นี้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ขอเพียงจริงใจ คงอยู่ชั่วนิรันดร์!

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นด้วยกับคำพูดของเต้าเหยี่ยอยู่ในใจ ปีศาจหมีตัวนี้นอกจากเรื่องที่มีปัญหาด้านมุมมองการใช้ชีวิตกับมุมมองด้านการให้คุณค่านิดหน่อยแล้ว พื้นฐานนับว่าใช้ได้เลย มีพรสวรรค์ขัดเกลาได้ ดึงให้กลับมาอยู่ในลู่ในทางได้

พวกซางเฉาจงย่อมสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของทางเฟิ่งรั่วหนานเช่นกัน เพียงแต่ไม่เข้าใจว่ากำลังหาอะไรอยู่…

……

ครืน! ฟ้าร้องดังสนั่น

สภาพอากาศไม่เป็นใจ ตอนที่ออกจากเมืองดวงตะวันยังส่องแสงจ้าอยู่ ทว่าเดินทางได้ไม่ถึงครึ่งวันก็มีเมฆครึ้มปกคลุม ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง จากนั้นหยาดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วเริ่มตกโปรยปรายลงมา ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสายฝนหนาแน่น

ขบวนม้าพลันเร่งความเร็วขึ้น วิ่งห้อท่ามกลางสายฝน มุ่งหน้าไปยังจุดพักม้าแห่งหนึ่งที่อยู่ถัดไป เนื่องจากไม่ได้นำสัมภาระจำพวกกระโจมติดมาด้วยเลย ทว่าจุดพักม้าระหว่างทางล้วนมีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว ช่วงแรกๆ ที่ฝนตกหนักหยวนฟางยังใช้พลังสกัดกั้นได้ ไม่ให้ฝนกระทบโดนตัว แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็ทนรับสายฝนที่ซัดโหมลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ไหว พลังของเขาสกัดกั้นสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องได้ไม่ทัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมรับการชำระล้างจากสวรรค์อย่างอับจนหนทาง

จุดพักม้าอยู่เบื้องหน้า ขณะกำลังจะเข้าไปถึง พายุฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน พริบตาเดียวเมฆดำทะมึนก็ลอยจากไป ลอยล่องไปยังทิศทางอื่น

หยวนฟางที่อยู่บนหลังม้าเงยหน้ามองท้องนภาสีครามสดใส พึมพำกับตัวเอง “พุทธองค์หนอ!”

จุดพักม้าในจังหวัดกว่างอี้เลิกขึ้นตรงต่อราชสำนักมานานแล้ว รับใช้เพียงเฟิ่งหลิงปอเท่านั้น

จุดพักม้าได้รับสารด่วนจากจุดพักม้าก่อนหน้านี้ ทราบว่าคณะเดินทางของเฟิ่งรั่วหนานใกล้จะเดินทางมาถึงทางนี้แล้ว พอเห็นฝนตกหนัก เจ้าพนักงานทั้งหมดของจุดพักม้าก็ลงมือกันทันที นำกระโจมออกมากางด้านนอก จุดพักม้าแห่งนี้ก็ทราบดีว่าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ คณะของเฟิ่งรั่วหนานคงจะไม่มีทางหยุดพักที่นี่ แต่ถ้าฝนตกเช่นนี้ก็ไม่แน่

ทว่าเพิ่งตั้งกระโจมไปได้ไม่กี่หลัง ท้องฟ้าก็สดใสแล้ว

ส่วนสาเหตุที่ต้องตั้งกระโจม เป็นเพราะจุดพักม้ามีพื้นที่จำกัด รองรับไพล่พลหลักพันไม่ได้ พวกเฟิ่งรั่วหนานที่เป็นเจ้านายย่อมได้เข้าพักในเรือน แต่ทหารชั้นผู้น้อยไม่สามารถเข้าไปพักข้างในทั้งหมดได้

เฟิ่งรั่วหนานกำลังจะมา ต่อให้ปกติแล้วคนในจุดพักม้าจะเกียจคร้านกันปานใด ยามนี้ย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ หากจัดการไม่ดีหัวจะขาดเอาได้ เมื่อเห็นฝนหยุด หัวหน้าจุดพักม้าก็สั่งการให้ลูกน้องรีบต้มน้ำขิงทันที แม้นจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่สายฝนในฤดูใบผลิก็ยังทำให้ผู้คนหนาวเย็นได้ ซ้ำยังขี่ม้าโต้ลมกันมาอีก

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หลังจากหัวหน้าจุดพักม้าลงคำสั่งไปได้ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็แว่วเข้ามา ขบวนม้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา เสียงม้าร้องเริ่มแว่วดังอยู่ด้านนอกเป็นพักๆ ขบวนม้าชะลอหยุดลงด้านนอก ทหารม้าสิบกว่าคนเข้ามาตรวจสอบในจุดพักม้าก่อน

เฟิ่งรั่วหนานไม่ได้สวมชุดเกราะ หากแต่แต่งกายด้วยชุดสตรี เสื้อผ้าที่เปียกชื้นลู่แนบร่าง มาตรว่าร่างกายนางจะกำยำบึกบึน แต่ส่วนเว้าส่วนโค้งตามประสาสตรียังคงมีอยู่ แม้นจะเป็นรูปร่างขนาดใหญ่ แต่ก็ยังสะดุดตาอยู่บ้าง เหวินซินจึงเอาเสื้อคลุมกันลมมาห่อตัวนางไว้

หยวนกังยิ้มมุมปากเล็กน้อย เข้าใจความรู้สึกของหยวนฟาง

เฟิ่งรั่วหนานไม่ได้แสดงท่าทีอันใดออกมา ตรวจดูคณะไพร่พลไปตามปกติ จากนั้นถึงได้เข้าสู่จุดพักม้าแล้วลงจากหลังม้า

กระโจมหลายหลังถูกติดตั้งขึ้นรอบๆ จุดพักม้า แล้วก็ยังมีส่วนที่ยังกางไม่เสร็จดีด้วย กลิ่นน้ำขิงลอยอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เฟิ่งรั่วหนานรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย นางรู้ดีว่าจุดพักม้าที่อยู่ห่างไกลตัวเมืองเช่นนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก มีเจ้าพนักงานแค่ไม่กี่คน การที่สามารถเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้เช่นนี้นับว่ามิใช่เรื่องง่าย ทุกสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังอยู่ตรงหน้านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจุดพักม้าแห่งนี้ทุ่มเทใส่ใจ ในฐานะผู้บัญชาการคนหนึ่ง นางรู้ซึ้งถึงความสำคัญของความสะดวกราบรื่นในกองทัพดี การมีจุดพักม้าที่ดำเนินการได้ดีสักแห่งก็เป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งเช่นกัน

เฟิ่งรั่วหนานมองดูหัวหน้าจุดพักม้าที่เข้ามาคารวะตรงหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “แจ้งต่อนายอำเภอเขตนี้ คนผู้นี้มีความสามารถพอจะรับตำแหน่งเจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้า!”

เจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าคือเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลจุดพักม้าทั้งหมดภายในอำเภอ คำพูดเพียงประโยคเดียวของนางได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของหัวหน้าจุดพักม้าคนนี้ไปอย่างสิ้นเชิง อันที่จริงหัวหน้าจุดพักม้าไม่นับว่าเป็นขุนนางด้วยซ้ำ เจ้าพนักงานดูแลจุดพักม้าสิถึงจะเป็นใบเบิกทางสู่เส้นทางการเป็นขุนนางอย่างเป็นทางการ

หัวหน้าจุดพักม้าปรีดานัก แต่เฟิ่งรั่วหนานกลับคร้านจะพูดจาตามมารยาทกับเขา จึงสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน

คณะเดินทางทยอยกันเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในห้องพักของจุดพักม้า เหล่าสตรีย่อมได้รับสิทธิ์ก่อน ส่วนทหารชั้นผู้น้อยก็ผลัดกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในกระโจมแทน

หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่าถึงแม้จะเผชิญกับสายฝนโหมกระหน่ำ ทว่าเสื้อผ้าของกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่ไป๋เหยาเป็นผู้นำยังคงแห้งสะอาดดี ไม่มีร่องรอยเปียกชื้นจากสายฝน แต่ตัวเขากลับเปียกชุ่มไปหมด

“เต้าเหยี่ย!” หยวนฟางที่อยู่ด้านนอกตะโกนเรียกหนิวโหย่วเต้าที่กำลังเข้าไปในจุดพักม้า เชิญเขาไปสนทนากันด้านข้าง

หนิวโหย่วเต้าโบกมือพัดไปพัดมาตรงปลายจมูก ขมวดคิ้วพลางแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “ทำไมตัวเจ้ามีกลิ่นแรงขนาดนี้?”

หยวนฟางรีบประสานมือเอ่ยอ้อนวอน “เต้าเหยี่ย ท่านปล่อยพวกเราไปเถิด ถ้าขืนอยู่ต่อไป เกรงว่าข้าคงไม่รอดแน่!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน “เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงพูดแบบนี้เล่า?”

หยวนฟางเหลือบมองหยวนกังที่จ้องมองมาทางจากจุดที่ห่างออกไป จากนั้นกระซิบกระซาบบอกเล่าเรื่องราวที่หยวนกังให้เขาไปจัดการ สุดท้ายก็เอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมองกลัดกลุ้ม “หากอยู่ต่อไป พระชายาอ๋องคงสังหารข้าแน่!”

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้คำหนึ่ง “นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้หยวนกังไปสั่งการเจ้าเอง”

……………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า