ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 79

ตอนนี้ 79 ข้าไม่ได้มากเล่ห์เช่นท่าน

“กองทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนาย กลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้ เซี่ยงอู่เหรินสมควรตายนับหมื่นครั้ง!”

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ภายในห้องโถงหลัก เสียงตะโกนของโจวโส่วเสียนเกือบจะทำให้กระเบื้องหลังคากระเด็นกระดอนขึ้นมา ถ้วยชาเกือบหล่นแตกลงบนพื้น เขาให้เซี่ยงอู่เหรินนำทัพทหารชั้นยอดไปช่วย นอกจากจะโจมตีไม่สำเร็จแล้ว กลับยังเป็นตัวถ่วงทำให้เสียเรื่องอีก ทำให้การลอบสังหารล้มเหลว! มิใช่เพียงล้มเหลวในการลอบสังหารซางเฉาจงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเขาด้วย ทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายภายใต้สังกัดของเขาพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าเช่นนี้ ผู้อื่นจะคิดอย่างไรเล่า?

การตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวเป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น จากนั้นเขานั่งลงบนเก้าอี้ ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง ตกอยู่ในห้วงความคิด

……

ณ จังหวัดกว่างอี้ ทันทีที่เฟิ่งหลิงปอได้รับแจ้งข่าวก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทุกคนต่างมิใช่คนโง่ กองโจรเขี้ยวหมาป่าอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่เดาดูก็ยังรู้เลยว่าเป็นฝีมือของกองกำลังจากมณฑลหนานโจว ไม่ว่าจะใช่ฝีมือของกองโจรเขี้ยวหมาป่าหรือไม่ เฟิ่งหลิงปอก็โยนความแค้นนี้ไปที่ราชสำนักแล้ว

กองกำลังจังหวัดกว่างอี้เตรียมพร้อมบุกโจมตี ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหว ก็มีแขกจากจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวมาเยือนจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ทันที มาหาเฟิ่งหลิงปอเพื่อทำการเจรจา ไม่รู้ว่าตกลงผลประโยชน์อันใดกันได้ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างไม่คิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อีก เรื่องราวที่ดูคล้ายจะใหญ่โตสงบลงอย่างรวดเร็ว

……

เมืองหลวง ณ จวนตระกูลซ่ง ภายในสวนที่งามวิจิตร ซ่งจิ่วหมิงยืนเงียบๆ อยู่ริมสระ

พ่อบ้านหลิวลู่รีบเดินเข้ามา เอ่ยรายงานว่า “หลังทราบข่าวคุณชายสามโกรธมากขอรับ กำลังอาละวาดระบายโทสะอยู่”

ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเข้าใจความรู้สึกของบุตรชาย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แพร่ข่าวไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียร ไล่เรียงความผิดต่างๆ ของซ่งซูบุตรชายของเขา ประกาศขับไล่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังกล่าวหาซ่งซูว่าคิดจะล้างครูล้มสำนัก เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนสามัญในโลกปุถุชนก็แบกรับคำครหาว่า ‘ล้มครูล้างสำนัก’ ไม่ไหวเช่นกัน เรียกได้ว่าชื่อเสียงของซ่งซูเสียหายแล้ว แล้ววันหน้าซ่งซูจะออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ดันยากที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ บางครั้งหลักเหตุผลบนโลกนี้ก็ยืนอยู่ข้างคนอ่อนแอเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ง่ายๆ ผู้ใดจะเชื่อล่ะว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นฝ่ายหาเรื่องตระกูลซ่งก่อน?

ทางฝั่งนี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะกล้าเป็นฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกับตระกูลซ่งก่อน ในตอนที่สำนักอีกแห่งหนึ่งที่ถูกใช้ให้ไปโจมตีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์บุกไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาก็พบว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ว่างเปล่าร้างผู้คนแล้ว เหลือแต่เพียงอากาศ ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเนิบๆ “ยังไม่มีข่าวของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?”

หลิวลู่กล่าวตอบ “ออกเดินทางกะทันหัน ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง อยู่ระหว่างสืบข่าวขอรับ!”

ซ่งจิ่วหมิงยกมือไพล่หลังไม่เอ่ยวาจา ขมวดคิ้วแน่น ไม่ทราบว่าระยะนี้เกิดอะไรขึ้น คล้ายจะมีลางสังหรณ์ พบว่าเรื่องราวหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน อยู่เหนือการควบคุมไปหมด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หลุดจากการควบคุมของตระกูลซ่ง ซางเฉาจงก็หลุดพ้นจากการควบคุมของราชสำนัก การลอบสังหารของทางมณฑลหนานโจวก็ล้มเหลว…

….

เมื่อมีทหารราบคอยถ่วงรั้ง ความเร็วในการเดินทางของทหารม้าย่อมช้าลง จากที่สามารถเดินทางไปถึงได้ภายในวันสองวันก็ลากยาวไปหลายวัน

หลังจากเดินทางมาได้สองสามวัน เฟิ่งรั่วหนานก็สังเกตเห็นได้ถึงผิดปกติ เป็นทหารม้าเช่นเดียวกัน ม้าศึกที่ยึดมาจากฝ่ายศัตรูที่ลอบโจมตีจำนวนมากถูกมอบให้ผู้บาดเจ็บของฝ่ายตนขี่ แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ผู้บาดเจ็บฝ่ายตนยังไม่กล้าขยับเขยื้อนมากนัก ด้วยกลัวว่าจะสะเทือนบาดแผลจนปริแตก แต่ผู้บาดเจ็บของฝ่ายซางเฉาจงกลับสามารถขึ้นม้าลงม้าด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนช่วยประคอง บางส่วนก็พอจะเดินกะเผลกๆ ด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ

การฟื้นตัวของผู้บาดเจ็บฝ่ายซางเฉาจงเร็วกว่าของฝั่งตนอย่างเห็นได้ชัด เฟิ่งรั่วหนานย่อมทราบดีว่าการที่ผู้บาดเจ็บในสนามรบฟื้นตัวได้เร็วมีความหมายอย่างไร ไม่เพียงแต่ลดภาระในการดูแลลง แต่ยังฟื้นฟูกำลังพลกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วย สำหรับการทำศึกแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย!

ส่วนเหล่าองครักษ์ของซางเฉาจงเมื่อเห็นว่าตนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น จึงพบว่าการเย็บแผลมีประโยชน์อย่างที่ว่ามาจริงๆ ความหวาดผวาที่มีต่อการเย็บแผลจึงเลือนหายไป เมื่ออาการบาดเจ็บฟื้นตัวได้รวดเร็ว ก็คลายความกังวลลงไปในระดับหนึ่ง ไพร่พลเบิกบานสดใสขึ้นไม่น้อย

เหล่าทหารที่ทำศึกบนสนามรบล้วนแต่ให้ความเคารพต่อผู้ที่ช่วยชีวิตตน เมื่อได้พบหยวนกังและเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานอีกครั้งก็ให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

“ไต้ซือ ไข่นกหลายฟองนี้เหล่าพี่น้องเพิ่งเก็บมาจากรังนกในป่า ต้มสุกหมดแล้ว”

ยามที่ตั้งค่ายพักแรมตอนกลางคืน พลทหารนายหนึ่งได้ที่รับการรักษาจากหยวนฟางเดินมาหา ยัดไข่นกขนาดเท่าไข่ไก่ที่มีเปลือกสีเขียวครามหลายฟองใส่มือหยวนฟาง หยวนฟางจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายบังคับยัดของให้เสร็จก็เดินจากไป

ความรู้สึกขอบคุณในการช่วยเหลือของเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความเคารพเลื่อมใสจากใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือได้ยินว่าต่อไปสมณะเหล่านี้ยังต้องช่วยตัดไหมให้พวกเขาอีก ทุกคนล้วนค่อนข้างหวาดกลัวต่อเรื่องที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน นี่จะเรียกว่าเป็นการเอาใจล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเบาไม้เบามือบ้างก็ว่าได้

ไข่นกหลายฟองที่ถูกยัดใส่มือเห็นได้ชัดว่าเพิ่งต้มเสร็จ เมื่อกุมไว้ในมือแล้วค่อนข้างร้อนลวกมืออยู่บ้าง หยวนฟางพึมพำ “อามิตตาภพุทธ บาปกรรรม บาปกรรม!”

กินไข่นกก็ถือเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หยวนฟางกินไม่ได้ จึงมอบไข่นกให้เหล่าสมณะ บอกให้พวกเขานำไปให้ผู้บาดเจ็บกิน

เหล่าสมณะรับไข่นกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไปจัดการตามที่สั่ง

ใบหน้าหยวนฟางก็มีรอยยิ้มประดับอยู่เช่นกัน ระยะนี้เหล่าสมณะรวมถึงตัวเขาล้วนสัมผัสถึงความเคารพเลื่อมใสที่ทุกคนมีต่อพวกเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อมีของอร่อยทุกคนก็จะนึกถึงพวกเขาก่อน จะเลือกของกินของใช้ที่ดีที่สุดมาส่งให้พวกเขาก่อนเสมอ

ความรู้สึกที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสเช่นนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เหล่าสมณะค้นพบว่าความจริงแล้วคนพวกนี้ก็ไม่เลวร้ายเลย ส่วนหยวนฟางก็รู้สึกว่าหลักธรรมแห่งพุทธองค์คือสิ่งที่ถูกต้อง เริ่มพร่ำเทศนาเหล่าสมณะว่าให้มีเมตตาธรรม ช่วยเหลือผู้อื่น

ซางเฉาจงนั่งอยู่ข้างกองไฟ กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าสภาพของไพร่พลล้วนแต่ไม่เลว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่หลายวันมานี้ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นออกมา “ยังคงเป็นชิงเอ๋อร์ที่สายตาล้ำเลิศ ดูเหมือนวิธีรักษาของเต้าเหยี่ยผู้นี้จะมีประสิทธิภาพจริงๆ”

ซางซูชิงเม้มปากอมยิ้ม

หลานรั่วถิงพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วย เขาทราบถึงอาการบาดเจ็บจากสนามรบเหล่านั้นดี ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากถูกดาบฟันขาเป็นแผลลึก โดยทั่วไปต้องใช้เวลาฟื้นฟูราวๆ ครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเดินเหิน แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้กี่วันเล่า? เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “สมณะกลุ่มนั้นก็เรียนรู้เดี๋ยวนั้นลงมือเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนวิธีการรักษานี้จะร่ำเรียนได้ไม่ยาก หากเต้าเหยี่ยยินยอมถ่ายทอดให้พวกเรา ภายหน้าจะมีประโยชน์มหาศาลต่อการรักษาในสนามรบ”

ซางเฉาจงนิ่งเงียบ กลัวแต่ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมถ่ายทอดวิชาที่ได้รับสืบทอดมาแก่คนนอกง่ายๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลองกล่าวกับซางซูชิงไปว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองหาโอกาสหยั่งเชิงท่าทีของเต้าเหยี่ยดูได้หรือไม่?”

“ได้เพคะ!” ซางซูชิงพยักหน้า

ขณะที่ทางนี้คุยกันอยู่ กลุ่มทหารของทางนี้ก็พากันแตกตื่นฮือฮาขึ้นมา เฟิ่งรั่วหนานพาคนมา ไม่ทราบเช่นกันว่านางจะทำอันใด ยืนอยู่ข้างๆ องครักษ์คนหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า