ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 80

ตอนที่ 80 อำเภอชางหลู

“……” หลานรั่วถิงอึกอักพูดไม่ออก นึกว่าเขามองเห็นสัญญาณของตนเลยจงใจบ่ายเบี่ยงเฟิ่งรั่วหนาน

ต่อให้ไม่ใช่ เขาก็รู้สึกสงสัยอยู่ดี อะไรคือการที่มาบอกว่าข้ามากเล่ห์? แผนการนี้ผู้ใดเป็นคนคิดขึ้นมาเล่า? เจ้าวางยาเสียด้วยซ้ำ ใครกันแน่ที่มากเล่ห์?

หลานรั่วถิงเพิ่งเดินจากไปได้สักพัก ซางซูชิงก็มาอีกแล้ว มาเลียบๆ เคียงๆ ถามว่า “อาจารย์หลานไม่ให้เต้าเหยี่ยรักษาลูกน้องของพี่สะใภ้หรือ?”

“ไม่ใช่ว่าไม่ให้รักษา แต่ท่านหลานอยากจับคู่ท่านอ๋องกับพระชายา…” หนิวโหย่วเต้าเปิดเผยเจตนาของหลานรั่วถิงออกมาตรงๆ

ซางซูชิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รู้สึกว่าเหตุใดบุรุษเหล่านี้ถึงเอาแต่คิดเรื่องเลวร้ายพรรค์นี้กัน แต่นางก็ออกความเห็นอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้มิได้เช่นกัน จึงย้อนกลับไปยังประเด็นหลักที่อยากถาม “เต้าเหยี่ย วิธีรักษาของท่านมีประโยชน์มหาศาลต่อเหล่าทหารในสนามรบ ไม่ทราบว่าสะดวกใจถ่ายทอดให้พวกเราหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือให้อย่างไม่ถือสา “มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หากอยากเรียนก็ไปหาเจ้าลิงได้เลย เรื่องรักษาบาดแผลภายนอกเขาเก่งกว่ากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

โลกนี้มีทักษะมากมายที่ไม่ถ่ายทอดแก่คนนอก ซางซูชิงนึกกังวลอยู่ว่าอีกฝ่ายจะหวงวิชา ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบตกตลงเร็วขนาดนี้ นางเอ่ยด้วยความยินดีปรีดา “ตกลง ชิงเอ๋อร์ขอเป็นตัวแทนเหล่าทหารขอบพระคุณความเมตตาของเต้าเหยี่ย!”

สำหรับเหล่าทหารที่ต้องออกศึกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยจริงๆ แต่สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย เขาหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลยพ่ะย่ะค่ะ ใช่แล้ว พระองค์เอาเรื่องนี้ไปหารือกับท่านหลานดูหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ เขาคงอยากอาศัยเรื่องนี้ไปหลอกล่อพี่สะใภ้ของท่านน่ะพ่ะย่ะค่ะ!”

พอพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ซางซูชิงก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้ารับ

…..

คืนนั้น คนของเฟิ่งรั่วหนานสังเกตเห็นว่ามีม้าตัวหนึ่งวิ่งมาจากทางอำเภอชางหลู หลังจากถูกทหารยามสกัดไว้ อีกฝ่ายจึงแจ้งว่าเป็นคนของซางเฉาจง ต่อมาคนจากฝั่งซางเฉาจงจึงมาทำการยืนยัน ไม่ทราบว่าคนผู้นั้นนำข่าวใดมาส่งให้ หลังจากพวกซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเข้าไปในกระโจม แสงไฟในกระโจมก็ส่องสว่างอยู่ทั้งคืน ไม่ทราบเช่นกันว่าหารือแผนการอันใดอยู่

เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานก็สังเกตเห็นสถานการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน หยวนกังได้สั่งการสมณะเหล่านี้เอาไว้ก่อนแล้ว หลังจากสืบทราบสถานการณ์จึงมารายงานให้หนิวโหย่วเต้าทราบ

วันต่อมา กองทหารออกเดินทางกันต่อ พอถึงยามบ่าย ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เข้าเขตอำเภอชางหลู

นายอำเภอหลูหลินเม่าและปลัดอำเภอฟางหมิงจ้าวได้พาคณะเจ้าหน้าที่ประจำอำเภอรวมถึงบรรดาเศรษฐีผู้มีหน้ามีตาในอำเภอมารอต้อนรับล่วงหน้าที่ปากทางเข้าอำเภอ

หลังจากพบหน้ากัน คณะต้อนรับของอำเภอชางหลูพากันทำความเคารพอย่างนอบน้อมตามธรรมเนียม ทว่าซางเฉาจงที่นั่งอยู่บนหลังอาชาร่างสูงใหญ่กลับไม่มีทีท่าว่าจะลงจากม้า จ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลังจากคณะต้อนรับทำความเคารพเสร็จสิ้น ซางเฉาจงเอ่ยถามอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเจ้าทราบความผิดหรือไม่?”

ผู้คนที่แย้มยิ้มอยู่ตะลึงงัน อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้กระทั่งพวกเฟิ่งรั่วหนานและหนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเช่นกัน

นายอำเภอหลูหลินเม่าประสานมือเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงกล่าวเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงกล่าวว่า “เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก แต่กลับฉ้อราษฎร์บังหลวง คหบดีท้องถิ่นก็รีดนาทาเร้น รังแกบุรุษข่มเหงสตรี สมควรรับโทษเยี่ยงไร?”

หลูหลินเม่าเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง นี่จะต้องมีคนปรักปรำป้ายสีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงไม่พูดมากกับพวกเขาอีก โบกมือส่งสัญญาณ “จับให้หมด!”

องครักษ์กลุ่มหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้า จับพวกนายอำเภอและปลัดอำเภอกดลงบนพื้นแล้วมัดตัวไว้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่อำเภอจะพกดาบเช่นกัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารองครักษ์ที่ดุดันราวพยัคฆ์ ไหนเลยจะกล้าขัดขืนได้ ทั้งหมดถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่บนพื้น รวมถึงคหบดีท้องถิ่นเหล่านั้นด้วย

จู่ๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ ทำเอาขบวนคนที่เดินทางมารอต้อนรับต่างตกใจเป็นอย่างมาก ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักต่างๆ ที่รับผิดชอบคอยเก็บรวบรวมสมุนไพรอยู่ที่นี่จำนวนหลายคนต่างพากันถอยห่างออกไปด้วยความตกใจ เฝ้ามองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความสับสนลังเล แต่ฝ่ายซางเฉาจงเองก็ไม่คิดจะแตะต้องพวกเขาเช่นกัน

พวกเฟิ่งรั่วหนานรู้สึกแปลกใจว่าซางเฉาจงจะสนใจเรื่องนี้ไปทำไม แม้อำเภอชางหลูจะเป็นเมืองศักดินาของซางเฉาจง แต่ก็เป็นแค่เมืองศักดินาเท่านั้น หลังเกิดเหตุจลาจลวุ่นวายของราชวงศ์อู่ขึ้น แคว้นต่างๆ ล้วนได้รับบทเรียนแล้ว อันสิ่งที่เรียกว่าเมืองศักดินาส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เมืองขึ้นแต่ในนามเท่านั้น สามารถเสพสุขกับส่วยภาษีได้ในระดับหนึ่ง แต่อำนาจแต่งตั้งขุนนางกลับเป็นของราชสำนัก ซางเฉาจงมีตำแหน่งสูงกว่าขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้ แต่กลับไม่มีอำนาจจัดการพวกเขา

นายอำเภอหลูหลินเม่าดิ้นรนร้องตะโกน “ท่านอ๋อง ต่อให้พวกกระหม่อมมีโทษ ก็ควรให้ราชสำนักเป็นผู้ตัดสินโทษ ท่านอ๋องจะกระทำเกินกว่าอำนาจไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงกล่าวอย่างเย็นชา “ผิดหรือถูก ข้าจะรายงานต่อราชสำนักเอง! เมืองศักดินาของข้า ไหนเลยจะปล่อยให้พวกเจ้าบ่อนทำลายได้ ต้องสังหารดับแค้นให้ประชาชน!” เขาโบกมือคราหนึ่ง “ตัดหัว!”

องครักษ์หลายนายเงื้อดาบฟัน เสียงโหยหวนแว่วขึ้นหลายเสียง โลหิตพุ่งกระฉูด ศีรษะเจ้าพนักงานอำเภอหลายคนร่วงลงพื้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า