ตอนที่ 89 เส้นทางลับ
“ศิษย์พี่ลู่หนอศิษย์พี่ลู่ ไยท่านจึงประมาทเช่นนี้?” อันเสี่ยวหม่านย่ำเท้าทอดถอนใจ
เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์เร่งด่วน เขาไม่กล้าชักช้ารีรอ เขียนรายงานลับใต้แสงโคมอย่างรวดเร็ว รีบส่งปีกทองสำหรับติดต่อกับทางสำนักไปแจ้งสถานการณ์อย่างเร่งด่วน
หลังส่งรายงานเสร็จเรียบร้อย เขาเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องครู่หนึ่ง ความคิดสารพัดประเดประดังเข้ามาในหัวสมอง หลิวลู่มีอิทธิพลต่อโจวโส่วเสียนมากแค่ไหน? โจวโส่วเสียนจะจัดการเขาอย่างไร? หลังจากใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ แล้ว สุดท้ายอันเสี่ยวหมานก็ตัดสินใจไปจากที่นี่ หากไม่มีอะไรค่อยย้อนกลับมาก็ไม่สาย แต่ถ้ารอจนเกิดเรื่องค่อยคิดหลบหนี เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นคงจะไม่ทันการ
เขาเก็บข้าวของเรียบร้อย แม้กระทั่งไฟภายในห้องก็มิได้ดับ เรียกรวมศิษย์ร่วมสำนัก จากนั้นหายลับไปในความมืดยามราตรี
……
นอกหน้าต่าง กลางขุนเขาปรากฏสายหมอกเลือนสลัว
หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หนิวโหย่วเต้านั่งตัวตรง มองสตรีในคันฉ่องที่กำลังหวีผมให้ตนอยู่ ความคมชัดในการสะท้อนภาพของคันฉ่องสำริดมีขีดจำกัด เดิมทีคิดไว้ว่าต่อไปถ้ามีโอกาส เขาจะทำกระจกที่สะท้อนภาพได้ชัดเจนสักบานให้อีกฝ่ายเป็นการตอบแทน แต่พอใคร่ครวญถึงใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว การมอบกระจกที่สะท้อนภาพชัดเจนให้จะไม่เป็นการหยามหน้าคนเขาหรอกหรือ ดังนั้นจึงพับเก็บความคิดนี้ไป
“เต้าเหยี่ย ท่านอาจารย์หลานบอกว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินทางได้ทุกเมื่อ” ซางซูชิงเอ่ยเตือน
“ได้พ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าตอบรับ เขาหลับตาใช้ความคิดเงียบๆ สักพัก จู่ๆ พลันลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวกระหม่อมจะไปรับประทานมื้อเช้าร่วมกับท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ได้! เดี๋ยวข้าจะไปแจ้งให้”
สาเหตุที่นางตกตะลึงไปเล็กน้อย เป็นเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมาซางเฉาจงและเฟิ่งรั่วหนานนอนร่วมห้องกันเป็นปกติแล้ว และทุกวันก็จะรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ทุกคนตระหนักได้ว่าซางเฉาจงมิใช่ชายโสดเช่นก่อนหน้านี้แล้ว การไปร่วมวงกินข้าวด้วยบ่อยๆ กลายเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังปลีกตัวออกมาก่อน ต่อมาหลานรั่วถิงก็ปลีกตัวออกมาเช่นกัน จนกระทั่งหลังจากซางซูชิงแยกตัวออกมา ไป๋เหยาก็คล้ายจะสังเกตเห็นแล้วว่าตนเหมือนจะเป็นส่วนเกิน จึงแยกตัวออกมาเช่นกัน
วันนี้จู่ๆ หนิวโหย่วเต้ากลับบอกว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย นี่จึงทำให้นางแปลกใจอยู่พอสมควร
……
พอถึงเวลาอาหาร ทันทีที่หนิวโหย่วเต้ามาถึงเรือนพำนักของซางเฉาจง เขาก็พบว่าหลานรั่วถิงและซางซูชิงก็มาเช่นกัน คงเป็นเพราะจู่ๆ เขาก็กลับมาร่วมโต๊ะอาหาร จึงอยากดูว่าตนมีเจตนาอันใด
หลังจากนั้นเฟิ่งรั่วหนานที่กลับมาจากสนามฝึกก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน นางย่อมต้องเห็นว่าวันนี้มีคนเพิ่มขึ้นมา ทุกเช้านางจะออกไปขี่ม้า ยิงธนูและฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
“คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายประสานมือเอ่ยทักทายก่อน
แม้นไม่อาจทำร้ายคนที่มีมารยาทกับเราได้ แต่โทสะที่เฟิ่งรั่วหนานมีต่อเขาก็ไม่มีทางจะสลายไปเร็วขนาดนั้น การถูกหลอกลวงในครานั้นเรียกได้ว่าโหดร้ายน่าเศร้า นางเพียงตอบ “อืม” อย่างเย็นชา แต่กลับพบว่าหนิวโหย่วเต้ามองพินิจตนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างผิดปกติ คล้ายกำลังจ้องมองบริเวณหน้าท้องของนางอยู่
มีใครเขาจ้องมองสตรีเช่นนี้กันบ้าง? ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองตนเป็นสตรีเลย! เฟิ่งรั่วหนานโมโหขึ้นมาทันที ตะคอกใส่หนิวโหย่วเต้าว่า “มองอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าลูบคางเอ่ยพึมพำ “ยังไม่ท้องอีกหรือนี่?”
พวกหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหมดคำพูดไปเล็กน้อย ไหนเลยจะตั้งท้องไวปานนั้น หรือต่อให้ท้องจริง ตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกหรอก!
ซางเฉาจงปวดหัวขึ้นมา รู้สึกว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้คล้ายจะชอบหาเรื่องเฟิ่งรั่วหนาน พบหน้าเป็นต้องทะเลาะกัน
“…..” เฟิ่งรั่วหนานตะลึงงัน ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ นางอับอายจนพาลโกรธ ตวาดไปว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หนิวโหย่วเต้าชักสีหน้าทันที “พระชายา ทำไมกล่าวเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ากระหม่อมพูดผิดไป? หนิงอ๋องเหลือท่านอ๋องเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว หากแต่งกับท่านแล้วยังไม่มีแม้กระทั่งทายาท นั่นมิเท่ากับว่าท่านอ๋องต้องสิ้นเชื้อสายหรือพ่ะย่ะค่ะ? หรือว่ายามที่ท่านออกศึกเคยได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้? หากว่าเป็นเช่นนั้นล่ะก็…” เขาหันไปมองซางเฉาจงที่มีสีหน้าอับอายพลางตะโกนถาม “ท่านอ๋อง ต้องการให้กระหม่อมจัดหาอนุโฉมงามไว้คอยปรนนิบัติท่านสักสองคนไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
เฟิ่งรั่วหนานกำหมัดด้วยความโมโห “พูดบ้าอะไรของเจ้า!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่อว่า “พระชายา คุยกันดีๆ ก็ได้ ไยต้องด่ากระหม่อมด้วย? กระหม่อมรู้ว่าทางจังหวัดกว่างอี้อาจจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา แต่พระองค์จะดีกว่ากันไปได้สักเท่าไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ? พระองค์คิดว่าทางจังหวัดกว่างอี้ใส่ใจพระองค์นักหรือ? เพื่อผลประโยชน์แล้ว ผู้ว่าการจังหวัดถึงกับยอมยกพระองค์ให้แก่ท่านอ๋องเหมือนเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่ง เคยใส่ใจความรู้สึกของพระองค์เสียที่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมเพียงอยากเตือนพระชายาเอาไว้ ในอนาคตมรดกของผู้ว่าการจังหวัดจะตกเป็นของหลานใน[1] หรือว่าจะตกเป็นของลูกชายของพระองค์กันล่ะพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมขอเตือนพระชายาให้นึกถึงอนาคตของตนให้ดี ทบทวนดูให้ดีว่าตนควรยืนอยู่ฝั่งไหน!”
เฟิ่งรั่วหนานโกรธจัดจนหัวร่อออกมา เอ่ยว่า “นี่เจ้าคิดจะยุแยงให้แตกคอกันหรือ?”
“พระองค์จะคิดอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์ ถึงอย่างไรคนที่ต้องทนรับความคับข้องใจ คนที่ต้องอาศัยใต้ชายคาผู้อื่น คนที่ต้องทนมองสีหน้าผู้อื่นก็มิใช่ทายาทของกระหม่อมอยู่แล้ว และผู้ที่จะต้องเสียใจภายหลังก็มิใช่กระหม่อมเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้ายักไหล่ หันหลังเดินจากไปอย่างไม่แยแส พลางกวักมือเรียกหยวนกัง “เจ้าลิง ในเมื่อคนเขาไม่ต้อนรับ จะอยู่กินข้าวให้อึดอัดไปทำไม ไปเถอะ!”
ซางเฉาจงอยากรั้งไว้ ทว่าหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างกลับดึงแขนเสื้อเขาเล็กน้อย ส่ายหน้าให้เขานิดๆ จากนั้นประสานมือพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่าต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง ขอตัวลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ยามที่เดินออกไปก็ส่งสายตาไปทางซางซูชิง
ซางซูชิงจึงตามออกไปด้วย
มือของเฟิ่งรั่วหนานกุมอยู่บนด้ามกระบี่ ภายในใจรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด พอหันกลับมาก็สบตากับซางเฉาจงเข้า ทั้งสองจ้องตากัน นางพลันตะคอกใส่ “มองอะไร!”
ซางเฉาจงพูดไม่ออก เขาตกเป็นคนกลางพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น อัดอัดเป็นที่สุด
นอกเรือน ซางซูชิงและหลานรั่วถิงมารวมตัวกัน ทั้งสองเดินเล่นด้วยกัน หลานรั่วถิงถอนใจเบาๆ “เต้าเหยี่ยทำเช่นนี้เพราะใคร่ครวญแล้วว่ากำลังจะไปจากที่นี่ แต่ก็นึกห่วงทางนี้ ตั้งใจปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ลงในใจของพระชายา หวังให้พระชายาคำนึงถึงอนาคตข้างหน้า เลี่ยงไม่ให้บีบคั้นท่านอ๋องให้รีบตามหาสิ่งนั้นจนเกินไป! เรื่องบางอย่างพวกเราไม่สะดวกพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระชายาไม่สู้ดีอยู่แล้ว จึงเล่นบทตัวร้ายต่อไปได้ จะพูดอะไรออกมาก็ได้…เต้าเหยี่ยมีน้ำใจนัก! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า