ตอนที่ 94 บนเขา ล่างเขา
ถึงแม้หนิวโหย่วเต้าจะไม่ได้พูด แต่หยวนกังทราบดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แม้นระหว่างเดินทางจะเจอปัญหา แต่หลังจากนั้นการเดินทางกลับราบรื่นดี ไม่เห็นผีตัวนั้นโผล่มาอีก นี่ทำให้พวกเขาแปลกใจอยู่เล็กน้อย
เมื่อดูจากที่มันไล่ทำลายคลังคบเพลิง แต่ก็หยุดลงกลางคันแล้ว ตอนนั้นพวกเขาคาดการณ์กันว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะเห็นว่าฝั่งนี้หาวิธีแก้ไขปัญหาได้แล้ว ต่อให้ทำลายคบเพลิงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ หรืออาจเป็นเพราะว่าไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในช่วงท้ายๆ เมื่อหาคลังคบเพลิงไม่พบก็ทำลายต่อไม่ได้ หรืออาจเป็นไปได้ทั้งสองกรณี
ตอนนี้หนิ่วโหย่วเต้าจึงลองสอบถามสถานการณ์ในหมู่บ้านดู ผีตัวนั้นกล้าเล่นงานแม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียร แต่ภายในหมู่บ้านนี้กลับไม่เคยถูกรบกวนเลยทั้งๆ ที่ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียร เช่นนั้นก็แปลว่าผีตัวนั้นยังไม่เคยมาที่นี่
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ นั่นคือผีตัวนั้นทำลายคลังคบเพลิงระหว่างทางไปมากมายขนาดนั้น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย มันกระตือรือร้นอยากจะเล่นงานพวกเขาแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว อีกฝ่ายลงทุนลงแรงไปมากขนาดนั้น อีกทั้งทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยต่อสู้กัน ต่างไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีพลังแค่ไหน การที่มันปล่อยพวกเขาออกมาง่ายๆ เช่นนี้ มันจะสมเหตุสมผลได้อย่างไร?
เช่นนั้นก็มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือผีตัวนั้นไม่ได้ยอมเลิกราง่ายๆ หากแต่มีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก หากไม่มีความมั่นใจเต็มที่ก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือ อีกทั้งยังเป็นการยืนยันคำพูดของหนิวโหย่วเต้าในอีกแง่หนึ่งด้วย นั่นคือผีตัวนั้นมีพลังจำกัด
ผ่านไปไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนสองคนเดินขึ้นมาจากด้านล่างเขา มาพร้อมกับเกี้ยวหามที่ดูเรียบง่าย เป็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่มีคานหามสองข้าง
ซางซูชิงเพิ่งถูกประคองขึ้นเกี้ยว จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลิง เจ้าลงเขาไปพร้อมท่านหญิงก่อน” จากนั้นก็ส่งสายตาให้หยวนกังอีกครั้ง
หยวนกังทราบดีว่าเขาต้องการให้ตนไปตรวจสอบสถานการณ์ในหมู่บ้านก่อน
เมื่อพวกซางซูชิงได้ยินก็หันกลับมามอง หลัวอันเอ่ยถามว่า “ฝ่าซือไม่ลงไปด้วยกันหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างรวบรัด “มีปัญหาเล็กน้อยน่ะ แม่ทัพหลัว ขอยืมตัวคนเฝ้ายามของที่นี่หน่อยได้หรือไม่?” เขาพยักเพยิดหน้าไปทางศาลามุงจาก
หลัวอันถามด้วยความแปลกใจ “ไม่ทราบว่าฝ่าซือมีปัญหาใดหรือ?”
ซางซูชิงรู้จักนิสัยของหนิวโหย่วเต้าดี ชอบอมพะนำ เรื่องที่ไม่อยากพูดต่อให้ถามไปก็ไม่ได้ความ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาหลัว จัดการตามที่ฝ่าซือบอกเถอะ”
เมื่อนางเป็นคนออกปาก หลัวอันจึงทำได้เพียงเอ่ยกำชับคนผู้หนึ่ง “ซานหู่ ได้ยินหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มที่เป็นคนเคาะระฆังพยักหน้ารับ “ได้ยินแล้ว”
จากนั้นคนทั้งกลุ่มตีวงเข้ามา แบกซางซูชิงลงเขาไป หยวนกังรวบรวมสัมภาระหลายห่อแบกขึ้นหลัง ตามลงเขาไปด้วย
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อยพลางมองตาม พบว่าคนที่ชาติกำเนิดแตกต่างกัน ยังไงก็แตกต่างกันอยู่วันยังค่ำ แม้นจะอยู่ในป่าเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ก็ยังได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างเป็นพิเศษ ต่อให้วงศ์ตระกูลตกต่ำก็ยังดีกว่าคนทั่วไปนับร้อยเท่า มีความคับข้องอันใดก็ยังเอ่ยปากออกไปได้ นี่สินะพื้นฐานชาติตระกูล!
“เต้าเหยี่ย ท่านอยากจัดการเจ้าผีลึกลับตัวนั้นหรือขอรับ?” หยวนฟางขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบถาม เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองพิรุธออกเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ากระซิบตอบ “ครั้งนี้ข้ามาเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ไม่อาจถูกรบกวนได้ หากไม่กำจัดผีตัวนี้ ข้าก็ยากจะวางใจได้!”
“โอ้!” หยวนฟางเข้าใจแล้ว พยักหน้ารับ
หนิวโหย่วเต้ากระซิบอีกว่า “ข้าเดาว่าผีตัวนั้นคงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ บางทีอาจจะตามหลังเรามาตลอดทั้งทาง คิดจะหาจังหวะลงมือก็เป็นได้ ตอนนี้ตะวันส่องจ้า หยินหยางแบ่งแยก คงไม่กล้าโผล่มา ทันทีที่ฟ้ามืด เป็นไปได้ว่ามันจะออกมาสำรวจดู เดี๋ยวเจ้ากลับเข้าไปข้างใน หาตำแหน่งซ่อนตัว ทันทีที่มันโผล่ออกมา ให้รีบปิดกั้นทางหนีของมันซะ ข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอก คอยประสานงานกับเจ้า”
หยวนฟางขานรับ “เข้าใจแล้วขอรับ” ว่าแล้วก็หันหลังเตรียมเดินเข้าไป แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก หันกลับมาถามอีกครั้ง “เต้าเหยี่ย เจ้าผีตัวนั้นอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ปากทางเข้าก็ได้ ทันทีที่ข้าเข้าไปย่อมถูกมันพบเห็น แต่ข้ามีวิธีหลบเลี่ยงปัญหานี้ขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ จากนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “ลองว่ามาสิ”
หยวนฟางกระซิบข้างหูเขา หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ จากนั้นหันหลังเดินกลับไปที่ปากถ้ำพร้อมเขา
มีคบเพลิงกองอยู่หน้าปากถ้ำ หยวนฟางแบกขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว หนิวโหย่วเต้าจุดคบเพลิงให้สว่างเดินนำหน้าไป ทั้งสองตั้งใจพูดคุยส่งเสียง มุดเข้าไปในถ้ำทีละคน เดินกลับไปริมธารน้ำใต้ดินอย่างเปิดเผย นำคบเพลิงกลับไปวางไว้ที่คลังเก็บคบเพลิง จากนั้นเดินกลับมาด้วยกัน ระหว่างที่เดินกลับขึ้นไป หยวนฟางพลันเคลื่อนกายเข้าไปหลบอยู่ในซอกหลืบด้านข้าง ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็เดินออกจากถ้ำไป ดับคบเพลิงแล้วโยนทิ้งไว้ข้างทาง มุ่งหน้าไปที่ศาลามุงจาก
“ฝ่าซือ!” ชายหนุ่มนามซานหู่ทำความเคารพพลางเอ่ยถาม “มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?” สายตายังคงมองไปทางปากถ้ำ คล้ายกำลังแปลกใจว่าเหตุใดหยวนฟางไม่ออกมา
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “มีเจ้าเฝ้ายามคนเดียวหรือ? เวลาจะกินข้าวมีคนเอาข้าวมาส่งให้?”
ซานหู่เอ่ยตอบ “ที่นี่ไม่มีอะไรต้องทำขอรับ ช่วงกลางวันจะเฝ้ายามคนเดียว พอถึงเวลากินข้าวจะมีคนมาเปลี่ยนเวร ช่วงกลางคืนจะเข้าเวรทีละสองคน เปลี่ยนเวรกันทุกๆ สองชั่วยามขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ข้าจะช่วยเฝ้ายามแทนเจ้าเอง เจ้ากลับไปเถอะ”
“ห๊า! จะทำแบบนี้ได้อย่างไรขอรับ?” ซานหู่รีบโบกมือปฏิเสธ
หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ไว้ด้านหน้า สองมือกุมด้ามกระบี่ไว้ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นให้ข้าไปหารือกับแม่ทัพหลัวอีกทีดีหรือไม่?”
“เอ่อ…ก็ได้ขอรับ!” ซานหู่เกาศีรษะ ท่าทางคล้ายจะค่อนข้างเกรงกลัวหลัวอัน เขาเดินออกจากศาลาไป จากนั้นหันมากล่าวอีกว่า “เดี๋ยวถึงเวลาอาหารแล้วข้าจะนำอาหารมาส่งให้ท่านนะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ถึงความซื่อตรงของผู้คนที่นี่ เขายิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ไม่จำเป็น หากผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็ให้ไปคุยกับท่านหญิง!” ความจริงด้วยระดับสภาวะของเขาแล้ว ต่อให้อดอาหารสักสองสามวันก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่อ่อนแรงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังมองซานหู่ที่ดูค่อนข้างงุนงงสงสัยลงเขาไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ชื่นชมทิวทัศน์ขุนเขาที่โอบล้อมอยู่รอบด้านครู่หนึ่ง ถือโอกาสสังเกตดูภูมิประเทศไปด้วย สุดท้ายก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลา หลับตาปรับลมหายใจ เดินอยู่ในเส้นทางลับมาทั้งวัน เขาเองก็ค่อนข้างเหนื่อยล้าเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า