ตอนที่ 95 หยินหยางมิอาจอยู่ร่วม
เหมิงซานหมิงรับฟังอย่างตั้งใจ พอฟังจบก็เอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง “เป็นบุคคลที่มีความสามารถยิ่งนัก เพียงแต่วิธีการไม่ค่อยซื่อตรงโปร่งใส คนผู้นี้มีทั้งคุณธรรมและความชั่วร้าย! ทว่าในโลกอันโกลาหลวุ่นวาย ซื่อตรงเกินไปก็ไม่อาจผดุงความยุติธรรมได้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำคนมีความสามารถหลุดมือไปคนหนึ่ง แต่มันกลับเป็นการช่วยเหลือท่านอ๋องอย่างมาก เฮ้อ! น่าเสียดายความมานะทุ่มเททั้งหมดของท่านตงกัว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์นับว่าตกต่ำลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว…ท่านอ๋องได้รับความอยุติธรรมเสียแล้ว!”
เขาหันมองป้ายวิญญาณของหนิงอ๋องที่ตั้งอยู่ภายในโถง ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าบุตรชายของหนิงอ๋องผู้สูงศักดิ์จะตกต่ำถึงขั้นต้องพึ่งใบบุญเฟิ่งหลิงปอ เกรงว่าถึงแม้นจะลดศักดิ์ลงไปแต่งกับธิดาเฟิ่งหลิงปอแล้วก็ยังคงถูกผู้อื่นดูแคลนอยู่ดี รู้สึกว่าซางเฉาจงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
หลังจากนั้นซางซูชิงก็เล่าแผนยึดครองจังหวัดชิงซานที่ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงวางขึ้นมาให้เขาฟัง นี่มิใช่เจตนาของตัวนางเอง หากแต่เป็นเพราะซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเคยสั่งนางไว้ก่อนออกเดินทาง พวกเขาอยากฟังความเห็นจากเหมิงซานหมิง ก็เหมือนอย่างที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ การส่งสารผ่านปีกทองอาจจะไม่ปลอดภัย เรื่องราวสำคัญบางอย่างไม่สะดวกลงรายละเอียดในจดหมาย
อีกทั้งเหมิงซานหมิงเคยเป็นแม่ทัพเอกใต้สังกัดหนิงอ๋อง มีกลยุทธ์ด้านการศึกในแบบของตนเอง พวกซางเฉาจงจึงอยากขอความเห็นจากเขา
เหมิงซานหมิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ว่า “กระหม่อมปลีกตัวจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานานมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กระหม่อมเองก็ยากจะบอกอะไรได้ ท่านหญิงโปรดให้เวลากระหม่อมได้ไตร่ตรองหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาสอบถามเรื่องราวอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก่อนจะให้คนพาซางซูชิงไปอาบน้ำพักผ่อน
จากนั้นรถเข็นถูกเข็นไปที่ห้องหนังสือ เหมิงซานหมิงเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งด้วยตัวเอง สั่งให้คนปล่อยปีกทองไปส่งข่าวให้ทางซางเฉาจง แจ้งให้ทราบว่าซางซูชิงมาถึงโดยสวัสดิภาพแล้ว ขอให้ทางซางเฉาจงวางใจ
……
ยามสนธยา หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่มองดูพระอาทิตย์ตกดินอยู่ภูเขามีสีหน้าสงบราบเรียบ ไม่มีผู้ใดทราบว่าภายในใจเขาคิดอะไรอยู่
ซานหู่และชายหนุ่มอีกคนที่มีนามว่าลู่ต้าเซิ่งเดินขึ้นเขามา เข้ามาทำความเคารพหนิวโหย่วเต้าพร้อมกัน “ฝ่าซือ!”
หนิวโหย่วเต้าหันหลังกลับไป เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้พวกเจ้าเข้าเวรหรือ?”
ซานหู่เอ่ยตอบ “คืนนี้พวกเราเฝ้ายามกะแรกขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าสั่งกำชับ “พวกเจ้าเฝ้ายามตามหน้าที่ของพวกเจ้าไป แต่จงจำไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าจะเห็นหรือได้ยินอะไรก็ห้ามเคาะระฆังเตือนภัยเด็ดขาด”
ทั้งสองพยักหน้ารับ ก่อนมาที่นี่พวกเขาได้รับคำสั่งมาจากด้านล่างภูเขาแล้วว่าให้ทั้งสองเชื่อฟังหนิวโหย่วเต้า
ดวงตะวันสีแดงเคลื่อนคล้อยลงไปในปลายอีกด้านของภูเขา ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัวลง
จันทราลอยอยู่บนนภา หนิวโหย่วเต้านั่งบนโขดหินนอกศาลา มือหนึ่งจับกระบี่ไว้ หลับตาสงบนิ่ง คล้ายว่าผล็อยหลับไปอย่างไรอย่างนั้น
สายลมบริสุทธิ์ จันทราส่องสกาว แมลงส่งเสียงระงม มีเสียงร้องของนกเค้าแมวแว่วขึ้นเป็นระยะ มีเสียงซ่าๆ แว่วเลือนรางมาจากทางน้ำตกที่อยู่ห่างออกไป
ราตรีมืดสลัว แสงตะเกียงจากหมู่บ้านตรงเชิงเขาสอดรับกับหมู่ดาวบนฟากฟ้า
หากเป็นเวลาปกติ ชายหนุ่มทั้งสองคงจะพูดคุยเฮฮาฆ่าเวลาระหว่างเฝ้ายามกะดึกอยู่ที่นี่ แต่วันนี้มีหนิวโหย่วเต้าอยู่ด้วย ทั้งสองย่อมต้องรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่กล้าเดินเหินวุ่นวาย แล้วก็ไม่กล้าพูดคุยส่งเดช ด้วยกลัวว่าจะรบกวนหนิวโหย่วเต้า
อีกทั้งชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้ามานั่งนิ่งๆ อยู่ที่นี่ทำไม
สองชั่วยามผ่านไป ล่วงเข้ายามดึก มีคนอีกสองคนมาเปลี่ยนเวร ก่อนจากไปพวกซานหู่ทั้งสองคนได้กระซิบถ่ายทอดคำสั่งของหนิวโหย่วเต้าให้คนที่มารับเวรต่อรับทราบ
คนที่มารับเวรต่อก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้ามานั่งอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร
เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืน พลันมีเสียงดัง ปัง! ที่อึกทึกครึกโครมผิดปกติแว่วมาจากในถ้ำที่อยู่ไม่ไกล
มีเสียงโครมครามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายจะดังมาจากส่วนลึกของถ้ำ เสียงโครมครามที่ลอยออกมาด้านนอกไม่ดังนัก แต่ช่วงกลางดึกเงียบสงัด คนด้านนอกจึงได้ยินอย่างชัดเจน
หนิวโหย่วเต้าที่นั่งนิ่งพลันลืมตาขึ้น ถือกระบี่ลุกขึ้นมา พุ่งทะยานออกไป เคลื่อนกายร่อนลงตรงปากถ้ำ ขณะที่กำลังจะเข้าไป เขากลับพบว่าเสียงโครมครามด้านในเงียบไปแล้ว จึงตะโกนเข้าไปในถ้ำทันที “เจ้าหมี!”
มีเสียงตอบรับของหยวนฟางแว่วลอยมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว “เต้าเหยี่ย จับได้แล้วขอรับ!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนฟางคุมตัวคนผู้หนึ่งออกมาจากด้านใน เป็นชายชราชุดขาวผมเผ้ากระเซอะกระเซิงคนหนึ่ง
ทว่าชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ในศาลากลับมองไม่เห็นชายชราชุดขาวคนนี้ เห็นเพียงแต่ว่าหยวนฟางที่ออกมาจากถ้ำมีท่าทางแปลกประหลาด คล้ายว่าฉุดดึงอะไรบางอย่างออกมาด้วย
“จับได้แล้วขอรับ!” หยวนฟางที่ออกมาจากถ้ำกล่าวรายงานอย่างดีใจ “ไม่มีฝีมือแล้วยังกล้าทำชั่วอีก เป็นไปตามที่เต้าเหยี่ยคาดการณ์ไว้ เขากำลังออกมาสำรวจทางออกนี้จริงๆ ด้วยขอรับ ข้าแอบอยู่ด้านข้าง เดิมทีคิดไว้ว่าจะรอให้เขาออกมาแล้วค่อยสกัดทางหนีของเขา แต่ผู้ใดจะทราบว่าผีเฒ่าตนนี้กลับระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะคอยตรวจสอบมาตลอดทาง แม้แต่จุดที่ข้าซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ปล่อยผ่านเช่นกัน ข้าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ต้องเผยตัวแล้วลงมือทันที”
หนิวโหย่วเต้าใช้เนตรทิพย์พินิจดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นถามว่า “เจ้าทำลายคบเพลิงระหว่างทางใช่หรือไม่?”
ชายชราชุดขาวตอบด้วยความหวาดผวา “ฝ่าซือไว้ชีวิตด้วย! ฝ่าซือไว้ชีวิตด้วย! ข้าน้อยไม่กล้าทำอีกแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าถามอีกครั้ง “พรรคพวกของเจ้าอยู่ไหน?”
ชายชราชุดขาวผงะไปเล็กน้อย ตอบด้วยความหวาดกลัว “ไม่มีพรรคพวก ไม่มีพรรคพวกขอรับ มีข้าน้อยคนเดียว ฝ่าซือ ข้าน้อยไม่กล้าทำแล้วจริงๆ ขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อไป “เจ้าเข้าไปในเส้นทางใต้ดินได้อย่างไร?”
ชายชราชุดขาวเอ่ยตอบอย่างตัวสั่นงันงกว่า “หลายปีก่อนถูกคนตามสังหาร ขณะที่มาซ่อนตัวในภูเขาบังเอิญพบถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมุดเข้าไป…” เขาพล่ามเป็นคุ้งเป็นแคว
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจจะฟังเขาพล่ามต่อ หันหลังกลับไป ยันกระบี่ไว้บนพื้น เอ่ยสั่งการ “เจ้าหมี กลับไปเฝ้าข้างในต่อ ถ้าพบว่าเขายังมีพรรคพวกอยู่ แต่กล้ามาหลอกลวงพวกเรา ก็จัดการเขาได้ทันที!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า