ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 97

สรุปบท ตอนที่ 97 บรรลุสภาวะ: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปตอน ตอนที่ 97 บรรลุสภาวะ – จากเรื่อง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

ตอน ตอนที่ 97 บรรลุสภาวะ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 97 บรรลุสภาวะ

ณ ศาลารับลมหลังหนึ่งบนเนินเขา เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นอยู่ตรงด้านข้างศาลา ซางซูชิงคอยเข็นอยู่ด้านหลัง ทั้งสองมองถ้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นหนิวโหย่วเต้าเข้าไปด้านใน ม่านถูกปล่อยลงมา มองเห็นหยวนกังและหยวนฟางเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำ

เหมิงซานหมิงเอ่ยถาม “ดูจากหน้าตาท่าทางแล้ว อายุของเขาน่าจะยังไม่มากใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงใคร่ครวญเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “เขาเข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งแต่เยาว์วัย โดนกักบริเวณอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ห้าปีก่อนจะถูกข้าเชิญลงเขา คำนวณดูแล้วอายุคงยังไม่มากแน่นอน น่าจะไล่เลี่ยกับข้า”

เหมิงซานหมิงจ้องมองไปทางถ้ำพยักหน้ารับนิดๆ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจ “น่าทึ่งนัก! ท่านตงกัวเชี่ยวชาญด้านการมองคนโดยแท้ มิน่าถึงเลือกรับเขาเป็นศิษย์ก่อนสิ้นใจ เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงพลาดโอกาสครั้งใหญ่แล้ว!”

สายตาของซางซูชิงที่กำลังจ้องมองดูถ้ำเลื่อนกลับมามองเขา เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านลุงเหมิง ผู้บำเพ็ญเพียรเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? เหตุใดท่านถึงสะท้อนใจเช่นนี้เล่า?”

เหมิงซานหมิงอธิบายว่า “ถึงกระหม่อมจะมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร แต่ในอดีตก็เคยพบปะคลุกคลีกับผู้บำเพ็ญเพียรมาไม่น้อย พอจะเข้าใจวิถีของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรอยู่บ้าง แม้นการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้คร่ำเคร่งจริงจังเหมือนอย่างเขาเช่นนี้ การบำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปสามารถหยุดพักได้ตลอดเวลา หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอันใดก็สามารถรับมือเองได้ ทว่ามีการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรประเภทหนึ่งที่แตกต่างไปจากปกติพ่ะย่ะค่ะ เป็นการเก็บตัวในตอนที่สภาวะกำลังจะบรรลุข้ามไปยังระดับสภาวะที่สูงกว่า ในช่วงเวลานี้ผู้บำเพ็ญเพียรจะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีกำลังพอจะปกป้องตัวเอง กระทั่งเด็กสามขวบคนหนึ่งก็อาจจะสังหารเขาได้ จึงมิอาจถูกรบกวนได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นสภาวะอาจจะถูกจำกัด มิอาจคืบหน้าไปตลอดชีวิต หรือที่หนักกว่านั้นก็คือธาตุไฟเข้าแทรก และที่ร้ายแรงที่สุดคือกลายเป็นภัยถึงชีวิต เช่นนี้แล้วในเวลานี้เขาระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ ซ้ำยังขอให้พวกเราส่งคนไปเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบ ท่านหญิงคิดว่าการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรของเขาเป็นแบบใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูซิตกใจไม่น้อย ตอบไปว่า “คล้ายจะเป็นแบบหลัง!”

เหมิงซานหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมก็คิดว่าเป็นอย่างหลัง! พระองค์เล่าว่าเคยเห็นเขาลงมือตอนอยู่ที่วัดหนานซาน เขาเอาชนะศิษย์พี่ทั้งสามได้อย่างง่ายดาย เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เกรงว่าคนผู้นี้กำลังเก็บตัวเพื่อทะลวงสภาวะสู่ระดับสร้างฐานพ่ะย่ะค่ะ มีความเป็นได้สูงว่าจะเป็นเช่นนี้! อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับทะลวงสู่ระดับสร้างฐานแล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่งในโลกบำเพ็ญเพียร หากให้เวลาฝึกฝนขัดเกลาสักหน่อย อนาคตย่อมรุ่งโรจน์ไร้สิ้นสุด! หากเขาสามารถออกจากการเก็บตัวได้อย่างราบรื่น…ท่านหญิง พระองค์ต้องกำชับท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ บอกให้ท่านอ๋องผูกมิตรกับคนผู้นี้ไว้ให้ดี อย่าทำพลาดเหมือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์!”

ซางซูชิงพยักหน้าตอบอืมคำหนึ่ง “ท่านลุงเหมิง ข้าจำไว้แล้ว” แต่ในใจกลับครุ่นคิด ข้าก็ทำเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้ว

“เขาน่าจะไม่ออกมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” เหมิงซานหมิงเอ่ยเสียงเรียบเฉย

ซางซูชิงดันรถเข็นหันหลังกลับ ค่อยๆ เข็นลงเขาไป พอถึงด้านหน้าเนินที่ลาดลงเขาก็มีคนเข้ามารับช่วงต่อ แบกรถเข็นลงเขาไป

…..

ภายในถ้ำ เมื่อแสงตะเกียงดับลง ร่างกายและจิตใจของหนิวโหย่วเต้าก็ค่อยๆ จมดิ่งลงในความมืดมิด ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านใดๆ อีก

จู่ๆ ภายในความมืดพลันมีแสงสว่างจุดหนึ่งสาดกระจายออก ประตูชีพจรภายในร่างเปิดออก จิตสำนึกไหลผ่านเข้าไป

ผู้คนในวิถีบำเพ็ญเพียรต่างเรียกมันว่าการพินิจดูภายใน ยามที่สามารถรับรู้ถึงสภาพภายในร่างกายของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ในตอนที่สามารถรวบรวมสภาพภายในทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ ทั้งโครงสร้างและรูปทรงก็จะก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกายจะปรากฏเป็นผังภาพแจ่มชัดอยู่ในสมอง หรือต่อให้เป็นเรื่องราวอื่นๆ ที่ไม่ใช่ร่างกายตน ยามที่เราทำความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว อย่างน้อยเราก็พอจะเข้าใจสถานการณ์โดยคร่าวๆ ของสิ่งของหรือเรื่องราวเหล่านั้นได้เช่นกัน

ทันทีที่จิตสำนึกจดจ่ออยู่ภายในร่าง ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างกายล้วนปรากฏอยู่ในหัวหนิวโหย่วเต้า

แสงสีทองและแสงสีเงินหมุนวนพัวพันกันไปมาอย่างเชื่องช้า ในเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตูต่างมีแสงสีเงินและแสงสีทองอยู่หนึ่งคู่ เต็มไปด้วยกระแสปราณอันทรงพลังไหลเวียนวน พร้อมปลดปล่อยออกมาทุกเมื่อ

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ยามที่ปราณแท้ต้นกำเนิดของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปสงบนิ่ง มันจะถูกเก็บอยู่ในจุดตันเถียนอันเป็นทะเลปราณ แต่ปราณแท้ต้นกำเนิดของหนิวโหย่วเต้ากลับมีอยู่สองสาย แยกเก็บอยู่ในเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตู การที่เป็นแบบนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทำให้สามารถปลดปล่อยกระแสปราณเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้อย่างรวดเร็ว

ภายในร่างเหลือยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอยู่สามสิบเอ็ดสาย ยังคงยึดแน่นอยู่ในจุดลมปราณทั้งสามสิบเอ็ดจุดเสมือนใยแมงมุม

เดิมทีมีสามสิบหกสาย ใช้ป้องกันอีกาปีศาจที่วัดร้างในหมู่บ้านหนึ่งสาย ใช้ตอนใกล้จะแข็งตายช่วงล่องแพหนึ่งสาย ใช้ต้านรับการโจมตีของถังซู่ซู่อีกหนึ่งสาย ใช้ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาจักรวาลอีกสองสาย เหลืออยู่สามสิบเอ็ดสาย

หลังออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาก็ไม่กล้าหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่เหลืออีก เพราะถ้าหากเขายังฝืนหลอมยันต์แล้วดูดซับต่อไป ปราณแท้ก็จะยิ่งเปี่ยมล้นและแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องทำให้เส้นลมปราณพังเสียหายแน่

สร้างฐาน ความหมายก็ตรงตามชื่อ ก่อสร้างรากฐานที่มีความมั่นคงยิ่งขึ้น และรากฐานในการเดินลมปราณก็คือเส้นลมปราณ

เป้าหมายในการเก็บตัวครั้งนี้ก็คือบรรลุสภาวะสู่ระดับสร้างฐาน การทะลวงสู่ระดับสร้างฐานก็คือการเสริมสร้างเส้นลมปราณให้แข็งแกร่งขึ้น ทำให้คูน้ำที่สามารถรองรับได้เพียงลำธารสายเล็กๆ ขยายตัวเป็นแม่น้ำกว้างที่สามารถรองรับกระแสน้ำเชี่ยวกรากได้

หลังจากปรับสภาพจิตใจและลมปราณให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว แสงสีเงินและแสงสีทองทั้งสองคู่ที่อยู่ในเส้นลมปราณเริ่นและเส้นลมปราณตูก็หมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลำแสงสองคู่ผสานรวมเข้าด้วยกัน พุ่งเข้าใส่ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสายหนึ่งที่ฝังตัวอยู่ในจุดปราณพร้อมกัน หมุนวนอยู่รอบยันต์ด้วยความเร็วสูง ปราณร้อนเย็นสองสายผนึกกำลังเข้าหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย

โดยปกติทั่วไป ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรจะบรรลุเข้าสู่ระดับสร้างฐาน พวกเขาจำเป็นต้องใช้ ‘โอสถรวมวิญญาณ’ เป็นจำนวนไม่น้อย โอสถนี้เป็นทรัพยากรบำเพ็ญเพียรที่สำคัญที่สุดของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า หลอมสกัดขึ้นมาจากสมุนไพรวิญญาณที่สะสมรวบรวมมา แฝงไอวิญญาณเอาไว้มากมาย ในสำนักบำเพ็ญเพียรต่างๆ ยามที่ศิษย์ในสำนักถึงช่วงทะลวงสภาวะ สำนักเหล่านั้นจะให้การสนับสนุนด้านโอสถวิญญาณ ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่มีใครมาให้การสนับสนุนในเรื่องนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณเขาห้าปี ไม่เคยมอบโอสถให้เขาเลยสักเม็ด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มลองเลยว่า ‘โอสถรวมวิญญาณ’ มีรสชาติเป็นอย่างไร

โชคดีที่ตงกัวเฮ่าหรานใช้แหล่งกำเนิดพลังของตัวเองประทับยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสามสิบหกสายไว้ในร่างเขา โชคดีที่เคล็ดวิชามหาจักรวาลที่เขาฝึกฝนสามารถหลอมกลั่นปราณแท้แปลกปลอมในร่างให้มาเป็นปราณแท้ของตัวเองได้

ถ้าหากจะเทียบกันจริงๆ แล้ว ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่ตงกัวเฮ่าหรานประทับไว้ในร่างเขามีปริมาณไอวิญญาณที่มหาศาลกว่าโอสถรวมวิญญาณเหล่านั้นมากนัก

หากจะให้ยกตัวอย่าง ไอวิญญาณก็เป็นเหมือนฝุ่นธุลีที่ล่องลอยกระจัดกระจาย แหล่งกำเนิดพลังคือฝุ่นธุลีที่มารวมตัวกันเป็นก้อนหินแข็งๆ ทั้งสองสิ่งแตกต่างกันขนาดไหน เพียงแค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายหนึ่งสายที่ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของพลังงานถึงได้มีอานุภาพรุนแรงจนถึงขั้นที่สามารถรับการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองอย่างถังซู่ซู่ผู้นั้นได้!

จนกระทั่งแสงสว่างที่ปกคลุมกลุ่มแสงสองคู่เหือดหายไปจนหมดและเผยร่างเดิมของแสงสีเงินและสีทองออกมา จากนั้นตัวมันก็พลันสิ้นสีสัน หลังจากที่พวกมันแทบจะหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงจะหยุดโคจรพลัง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เบื้องหน้าตกอยู่ในความมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด

เขาอยากขยับตัว แต่พบว่าแค่เพียงจะขยับนิ้วสักนิ้วก็ยังทำได้ยาก ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยก็เจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าถ้าเคลื่อนไหวมากไปจะต้องล้มลงอย่างแน่นอน ยากจะควบคุมการทรงตัวของร่างกายตามที่ตนต้องการได้ เขาเปล่งเสียงอย่างอ่อนระโหยโรยแรงออกมา “ลิง…เจ้าลิง…เจ้าลิง…”

ไม่รู้ว่าเรียกอยู่กี่ครั้ง ถึงได้มีเสียงของหยวนฟางแว่วเลือนรางมาจากด้านนอก “หยวนเหยี่ย ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะเรียกท่านอยู่นะขอรับ” ประสาทหูของเขายังคงเฉียบไวนัก

พลันมีแสงสว่างลอดมาจากทางปากถ้ำ มีคนแหวกม่านออก หลังจากได้ยินเสียงและแน่ใจแล้วว่าเป็นเสียงเรียกของหนิวโหย่วเต้าจริงๆ เสียงฝีเท้าของทั้งสองก็แว่วเข้ามาอย่างรวดเร็ว

แสงจากตะบันไฟส่องวาบขึ้นมา จุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่ตรงมุม

หยวนกังถือตะเกียงน้ำมันเดินเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้าพร้อมกับหยวนฟาง พวกเขาได้กลิ่นคาวเลือดก่อนเป็นอันดับแรก กระทั่งมองเห็นสภาพหนิวโหย่วเต้าอย่างชัดเจน ทั้งสองต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก มองเห็นหนิวโหย่วเต้าเสมือนมีเลือดปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง แข็งตัวกลายเป็นเปลือกห่อหุ้มทั่วร่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า แววตาหม่นแสงไร้กำลัง

“เต้าเหยี่ย ท่านเป็นอะไร” หยวนกังตกใจจนหน้าถอดสี เข้าไปพยุงเขา

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าเคลื่อนย้ายข้า ตอนนี้ข้าขยับไม่ได้…” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าอย่างอ่อนแรงพลางเอ่ยตอบ เขารู้ดีว่าเลือดบนร่างตนมาจากไหน เป็นเลือดที่ค่อยๆ ไหลซึมออกมาตามรูขุมขนในช่วงที่กำลังทะลวงสภาวะ

หยวนกังได้ยินก็รีบปล่อยมือ บนใบหน้าที่ราบเรียบไร้อารมณ์เสมอมาพลันฉายแววตึงเครียด “เต้าเหยี่ย ตอนนี้ท่านอยากให้ข้าทำอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าถามอย่างอ่อนแรง “ข้าเก็บตัวมานานแค่ไหน?”

หยวนฟางตอบให้ทันที “เก้าวันขอรับ! เต้าเหยี่ย ท่านเก็บตัวมาเก้าวันเต็ม!”

เก้าวันอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าฝืนยิ้มออกมา เก้าวัน น้ำสักหยดไม่ตกถึงท้อง ไม่แปลกเลยที่จะหิวน้ำขนาดนี้ เขาเค้นเสียงออกมาจากลำคอ “น้ำ…หิว…น้ำ…”

หยวนกังพยักหน้าหงึกๆ หันไปมองแวบหนึ่ง พบว่าหยวนฟางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ สำรวจสภาพของหนิวโหย่วเต้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น หยวนกังโมโหขึ้นมาทันที ยันเท้าออกไปทีหนึ่ง ถีบหยวนฟางที่ไม่ทันระวังตัวล้มกลิ้งตกบันได ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “มองอะไร? น้ำ! ไม่ได้ยินหรือ? ยังไม่รีบไปเอามาอีก!”

………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า