ตอนที่ 98 แสงแดดอบอุ่น
“ห๊า?” หยวนฟางที่กระเด้งตัวขึ้นมางงงวยเล็กน้อย หลังจากได้สติกลับมาก็ร้อง “โอ้!” แล้วรีบวิ่งออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาวิ่งกลับมาอีกครั้ง ในมือถือเหยือกดินเผาเอาไว้ใบหนึ่ง
เขาอยากป้อนน้ำให้หนิวโหย่วเต้า แต่หยวนกังไม่ยอม แย่งไปทันที จ่อปากเหยือกเข้าที่ริมฝีปากของหนิวโหย่วเต้าอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ รินน้ำเข้าไปในปากหนิวโหย่วเต้าทีละนิด
หลังจากค่อยๆ ดื่มน้ำเข้าไปไม่น้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงได้ปิดปาก หยวนกังวางเหยือกดินเผาลง มองเขาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
น้ำเสียงอ่อนแรงของหนิวโหย่วเต้าแว่วขึ้นมาอีกครั้ง “หิวนิดหน่อย ทำโจ๊กมาหน่อย”
หยวนกังหันขวับไป หยวนฟางกระโดดถอยไปด้านหลังทันที รีบเอ่ยว่า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” จากนั้นวิ่งฉิวออกไป
หยวนกังจ้องมองหนิวโหย่วเต้า ถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เต้าเหยี่ย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าว “ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติ น่าจะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้ฉันยังขยับตัวไม่ได้ คาดว่าต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่อีกสามวัน รอให้เส้มลมปราณเข้ารูปก่อนถึงจะออกไปได้”
หยวนกังถามด้วยความสงสัย “เต้าเหยี่ย คนที่ทะลวงระดับเป็นแบบนี้ทุกคนไหม?”
หนิวโหย่วเต้าอธิบายให้ฟัง “น่าจะไม่ต่างกันมาก เพียงแต่คนที่มีสำนักคอยสนับสนุนเหล่านั้นมีโอสถวิญญาณช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณที่ได้รับความเสียหาย พวกเขาจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า แต่ตัวฉันก่อนหน้านี้ถูกคนจับตามองอยู่ตลอด ไม่สะดวกติดต่อกับโลกภายนอกเลย บวกกับไม่อยากดึงดูดความสนใจของสำนักหยกสวรรค์ เลยทำได้เพียงฝืนใช้ร่างกายแบกรับ”
เห็นเขามีสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ หยวนกังขบกรามแน่นอยู่ครู่หนึ่ง สบถออกมา “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์สมควรตาย สักวันผมจะถล่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มอย่างอ่อนแรง รู้ว่าหยวนกังขุ่นเคืองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ไร้น้ำใจ ทำให้เขาต้องฝืนใช้ร่างกายแบกรับตรงๆ เขาเอ่ยหยอกว่า “ลำพังตัวนายน่ะเหรอ? นายเอาชนะพวกเขาได้หรือไง?”
หยวนกังตอบ “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าที่นี่มีกำมะถัน?”
หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย คำว่า ‘ดินปืน’ แวบขึ้นมาในหัวเขา นึกเชื่อมโยงถึงอาชีพเก่าของเจ้าลิงทันที เจ้าลิงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยุทโธปกรณ์ สร้างดินปืนตามวิธีพื้นบ้านได้โดยไม่มีปัญหา เมื่อนึกถึงภาพที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกระเบิดจนพังพินาศ มันก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าลิงจะก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ หนิวโหย่วเต้าจึงพูดไม่ออกอยู่บ้าง
“นายนี่นะ เรื่องของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอดีตไปแล้ว ขอแค่พวกเขาไม่มาระรานฉัน ฉันก็ไม่อยากไปข้องแวะอะไรกับพวกเขาอีก พูดกันตามตรงพวกเขาก็ไม่ได้ติดค้างอะไรฉันเหมือนกัน และการที่ฉันสามารถบำเพ็ญเพียรจนก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้ได้ ก็เพราะได้รับความเมตตาจากตงกัวเฮ่าหราน ถึงยังไงตงกัวเฮ่าหรานก็เป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้เมตตากับฉัน ฉันก็ไร้คุณธรรมกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้หมือนกัน แต่ฉันจะไม่ตามจองเวรสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างไม่ยอมเลิกรา ควบม้าย่ำทั่วหล้า ลมก็ดี ฝนก็ช่าง ขวางฉันไม่ได้ ขอเพียงพวกเขาไม่ทำเกินกว่าเหตุ เรื่องนี้ก็แล้วกันไปเถอะ นี่เป็นเรื่องของฉัน นายอย่าเข้ามาวุ่นวาย!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือนยืดยาว
เห็นเขาเปลืองแรงพูดยืดยาว หยวนกังจึงรีบตอบว่า “ผมเข้าใจแล้ว คุณหยุดพูดได้แล้ว พักผ่อนเถอะ!” กล่าวจบก็หันไปปรับไส้ตะเกียง ทำให้ไฟสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
“เดิมตัวข้างำประกายรักสงบ ใช้หยินหยางสยบโลกไพศาล… ”
เพลงงิ้วที่ขับขานด้วยเสียงแผ่วเบาอ่อนแรงค่อยๆ แว่วขึ้นมา
หยวนกังหันมองไปทันที เห็นหนิวโหย่วเต้านั่งขัดสมาธิก้มหน้าฮัมเพลงเบาๆ
หยวนกังจ้องมองอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงบนขั้นบันได ฟังเสียงเพลงที่ขับขานอยู่ข้างหู ดวงตาจับจ้องแสงไฟสลัวจมอยู่ในภวังค์
….
หน้าประตูคฤหาสน์หนิงอ๋องในอำเภอชางหลู ใครบางคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ตากแดดกรำฝนต้องลมจนมีสภาพย่ำแย่ ในที่สุดก็ล้มหน้าคว่ำลงบนพื้น
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าองครักษ์แตกตื่นขึ้นมาทันที พากันออกมามุงดูชายที่ล้มลงไป
“ตายแล้วหรือ?”
“ให้ข้าดูหน่อย…ไม่มีลมหายใจ ชีพจรไม่เต้นแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าจะคุกเข่าจนตาย”
“เจ้าก็พูดง่ายสิ หากเป็นเจ้า อย่าว่าแต่คุกเข่านานหลายวันเช่นนี้เลย คุกเข่าแค่วันเดียวเจ้าก็คงรับไม่ไหวแล้ว หลายวันที่ผ่านมาไม่มีน้ำสักหยดข้าวสักเม็ดตกถึงท้องเขาเลยด้วย!”
“คนผู้นี้สมองผิดปกติไปแล้วกระมัง?”
ความวุ่นวายหน้าประตูดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าเวรคุ้มกันภายในคฤหาสน์ ไม่นานนักก็รบกวนไปถึงไป๋เหยา
ในตอนที่ไป๋เหยามาถึง เหล่าองครักษ์ที่ยืนมุงกันอยู่ตรงหน้าประตูได้แบกเว่ยตัวขึ้นมาแล้ว
ไป๋เหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าทำอะไร? ใครใช้พวกเจ้าเคลื่อนย้ายเขา?”
องครักษ์นายหนึ่งที่เป็นคนแบกเอ่ยว่า “ฝ่าซือ เขาตายแล้วขอรับ เพิ่งล้มลงเมื่อครู่ คุกเข่าจนตาย พวกเราจะแบกไปฝังขอรับ”
คุกเข่าจนตายหรือ? ไป๋เหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเว่ยตัวด้วยแววตาตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะยังมีคนโง่งมเช่นนี้อยู่ อยู่ดีๆ ก็คุกเข่าจนตัวตายได้ ต้องมีปณิธานและความมุ่งมั่นมากขนาดไหนกัน?
เขาอดไม่ได้ที่จะรีบก้าวเข้าไป ลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง สุดท้ายพบว่ายังมีชีพจรที่เต้นอย่างอ่อนแรงอยู่ แต่ชีพจรอ่อนแรงเป็นอย่างมาก แทบจะไม่เต้นแล้ว คนธรรมดาย่อมตรวจไม่พบ
“เอาน้ำมา!” ไป๋เหยาร้องสั่ง มีคนไปจัดการตามที่สั่งทันที
จากนั้นไป๋เหยาก็ล้วงยาหุ้มขี้ผึ้งเล็กจิ๋วเม็ดหนึ่งออกมาจากสายคาดเอว บีบเปลือกหุ้มให้แตก นำเม็ดยาเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ด้านในออกมา บีบปากเว่ยตัวให้อ้าออก เม็ดยาถูกเขาใช้นิ้วขยี้จนแหลก ป้อนเข้าปากเว่ยตัว จากนั้นเขาโคจรลมปราณไปที่ฝ่ามือ ทาบลงตรงตำแหน่งหัวใจของเว่ยตัว
เมื่อน้ำมาถึง เขาก็สั่งกำชับอีกครั้ง “ค่อยๆ ป้อนเขา”
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็พอจะเข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้ยังไม่ตาย มีคนเข้าไปช่วยประคองศีรษะเว่ยตัวขึ้นมา รีบช่วยป้อนน้ำ
ผ่านไปสักพัก ไป๋เหยาดึงมือกลับ เรียกองครักษ์สองคนมาแบกเว่ยตัวเข้าไปในคฤหาสน์
…..
สามวันต่อมา หนิวโหย่วเต้าก็ถูกแบกออกมาจากถ้ำเช่นกัน แบกมาขึ้นเกี้ยวตัวหนึ่งที่วางอยู่นอกถ้ำ เป็นตัวเดียวกับที่ใช้หามซางซูชิงก่อนหน้านี้ หยวนฟางไปขอยืมมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า