บทที่ 169 เง็กเซียนฮ่องเต้เองก็ใจดำ
หลังจากที่ฉางเอ๋อกลับไปแล้ว ฉิงเทียนยังคงนึกถึงรอยยิ้มแสนหวานของฉางเอ๋ออยู่
เมื่อตือโป๊ยก่ายเห็นฉิงเทียนเดินกลับมา จึงได้รีบวิ่งเข้าไปหาแล้วถาม “น้องฉางเอ๋อมีธุระอะไรกับเจ้างั้นรึ น้องฉิง?”
มองไปที่ตือโป๊ยก่าย ฉิงเทียนก็ได้ส่ายหัวและผลักเอาเงาของฉางเอ๋อออกจากหัวของเขา แล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างผ่อนคลาย “ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ขอซื้ออาหารให้กระต่ายเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตือโป๊ยก่ายจึงได้เลิกสนใจ
ในเวลานี้เองที่เทพเอ้อหลางได้กำลังร้องเพลงด้วยไมโครโฟน ซึ่งกำลังร้องเพลงดาบดั่งความฝันที่ฉิงเทียนได้ให้เขาร้องอยู่
มาอย่างเร่งรีบ ไปอย่างเร่งรีบ กลัวจะไม่ได้พบ
รักอย่างรีบเร่ง เกลียดอย่างรีบเร่ง ทุกสิ่งเป็นไปดั่งสายลม
หัวเราะเสียงดัง ถอนหายใจเสียงดัง
ชีวิตแสนสุข ชีวิตแสนเศร้า
ผู้ที่อยู่ด้วยกันและตายไปพร้อมกับฉัน
………………….
“เสียงร้องของเทพเอ้อหลางนี่เสียงดีจริงๆ” ฉิงเทียนพูดอย่างชื่นชมขณะที่กำลังยืนดูอยู่ ซึ่งพูดได้ว่าการที่เทพเอ้อหลางแต่งตัวด้วยผ้าคลุมสีขาวนั้นทำให้มีบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ รวมกับเพลงดาบดั่งความฝันที่เขาร้องด้วยแล้ว ทำให้ได้บรรยากาศของความเท่ที่ไม่มีอยู่จริงออกมา ซึ่งเรียกได้ว่าดีกว่าของต้นฉบับบนโลกเสียอีก ฉิงเทียนเชื่อว่าถ้าเกิดไปจัดคอนเสิร์ตบนโลกคงได้มีสาวๆมากมายที่หลงใหลได้ปลื้มแน่ๆ เขาจะต้องดังเป็นพลุแตกอย่างแน่นอน
จนกระทั่งจบเพลง เอ้อหลางเสินก็ได้ยื่นมือขวาออกมาข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติและมีพลัง แล้วกางพัดในมือของเขาออกมาทำให้ได้การปิดท้ายที่หล่อมาก แล้วเขาก็ถามผู้ชม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“แปะๆๆๆ” แล้วเสียงปรบมือก็ได้ดังขึ้นมาราวกับว่าเพิ่งนึกได้ว่าเพลงของเอ้อหลางเสินนั้นดีมาก แม้แต่ฉิงเทียนและไท่ไป๋จินซิงก็อดม่าได้ที่จะปรบมือ เอ้อหลางเสินก็ได้ผงกหัวของเขาด้วยความพึงพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของผู้ชม เขานั้นคิดอยู่แล้วว่าเพลงที่เขาร้องนั้นมันจะต้องออกมาดี
ในตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้สนใจที่จะออกแสดงในงานเลี้ยงลูกท้อเลย แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงเทพสงครามของสวรรค์และเขาก็มีหน้าที่ที่จะต้องตักตวงผลประโยชน์ให้กับสวรรค์อยู่แล้ว โดยปกติอิมเมจของเขาคือความเย็นชาดังนั้นในงานเลี้ยงลูกท้อนั้นเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ แต่ในตอนนั้นเองที่เขาทราบข่าวว่าเจ้าลิงจ๋อนั้นได้บรรลุกลายเป็นจุ่นเชิ่งด้วยบทเพลงบทเดียว ทำให้เขารู้สึกทึ่งขึ้นมา
เขานั้นอยู่ในขั้นต้าลัวมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุได้เสียที ทำให้เขารู้สึกติดใจขึ้นมา และสงสัยว่าเขาจะสามารถบรรลุสู่ขั้นจุ่นเชิ่งได้เพราะเพลงนี้ได้หรือไม่
รวมกับไท่ไป๋จินซิงเป็นคนเอ่ยปากชวนเอง จะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ไว้หน้าที่ปรึกษาคนโปรดที่สุดของท่านลุง ยิ่งไปกว่านั้นท่านลุงเองก็คาดหวังกับงานเลี้ยงลูกท้อครั้งนี้ไว้สูงมากด้วย หลังจากที่เขาคิดได้เช่นนี้เขาจึงได้ตอบตกลง
หลังจากที่ร้องเพลงนี้จบ เอ้อหลางเสินก็พบว่าเข้าเริ่มชอบเพลงนี้ขึ้นมาแล้ว เขาร้องเพลงด้วยความรู้สึกเป็นธรรมชาติและปลดปล่อยออกมา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้ประสบพบเจอมาหลายปีมากแล้ว บางทีอาจจะมีแค่ครั้งเดียวคือตอนที่เขาได้เริ่มเรียนศิลปะ ตอนนี้เขารู้สึกสดชื่นมาก ถึงแม้เขาจะไม่ได้บรรลุวิชาเหมือนอย่างซุนหงอคงแต่เขาก็ยังรู้สึกขึ้นมานิดหน่อย เขารู้สึกว่าเขาเริ่มที่จะเข้าใกล้การได้เป็นจุ่นเชิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นตอนที่เอ้อหลางเสินหันมาพบฉิงเทียน เขาก็ได้เดินไปหาฉิงเทียนด้วยอารมณ์ที่ดี เขาได้วางมือของเขาที่ไหล่ของฉิงเทียนแล้วพูดอย่างมีความสุข “ไม่เลว ไม่เลว น้องฉิงข้าชอบเพลงนี้มาก คราวหน้าถ้าเจ้ามีเพลงเช่นนี้อีก ก็อย่าลืมเอามาให้ข้าอีก ข้าจะซื้อมันในราคาที่สูงเลย แล้วอย่าลืมไส้กรอกของข้าด้วยล่ะ!”
เมื่อเห็นท่าทีของเอ้อหลางเสินที่สนิทสนมกับเขา ฉิงเทียนก็ได้รีบตอบรับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนครับ พรุ่งนี้ถ้าผมได้ของมาแล้วผมจะติดต่อไปหาบนสวรรค์ครับ” นี่คือเทพสงครามที่อยู่บนสวรรค์ และเป็นถึงหลานของเง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นทายาทเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่พึ่งพาได้อย่างมาก ผิดกับทายาทเจ้าหน้าที่สวรรค์อย่างหั่วเอี๋ยน
“เจ้าเห่าฟ้า ไปกันเถอะ!” เขาพูดกับเห่าฟ้าที่อยู่ข้างๆเขาซึ่งกำลังส่ายหางและมองมาที่ฉิงเทียนแล้วเห่า
ทำไมเจ้านายถึงจะรีบไปตอนนี้ล่ะไส้กรอกของข้าล่ะเมื่อไรมาจะมา ไม่ได้การข้าต้องหาโอกาสออกมาพบฉิงเทียนตามลำพังแล้วให้เขาซื้อมันมาให้ข้าอีกให้ได้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าคนตักอึมาควบคุมอาหารของข้าเด็ดขาด แล้วเจ้าเห่าฟ้าก็เดินไปอย่างช้าๆด้วยหัวที่เชิดสูง แล้วหันหน้ามาหาเขาเป็นช่วงๆ มันไม่สามารถละทิ้งสายตาของมันออกจากฉิงเทียนได้ ราวกับว่าฉิงเทียนคือไส้กรอกเสียเองแล้วอยากที่จะโดดเข้าใส่เขามาก
แล้วฉิงเทียนก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เมื่อถูกสุนัขจ้องมองใส่เขาเช่นนี้ “เจ้าเห่าฟ้ามันกำลังทำอะไรน่ะ?” ฉิงเทียนรู้สึกได้ว่าเห่าฟ้ามองมาที่เขาเหมือนตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
“ไปก่อนนะทุกคน!” เอ้อหลางเสินโบกไม้โบกมือ
หลังจากที่เอ้อหลางเสินจากไปแล้ว ในเวลานี้เหลือเพียงฉิงเทียน, ตือโป๊ยก่ายและไท่ไป๋จินซิง แล้วตือโป๊ยก่ายก็พูดอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าหมอนี่ชอบทำตัวขี้แอ็คจริงๆ”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านค้าจากแดนสวรรค์ (仙界淘宝) ข้ามได้รีรันเฉยๆของเก่าหาย