บทที่ 420 หนีไม่รอด
ครืน~~ เสียงคลื่นในทะเลสาบซัดสาด และมีเสียงร้องคำรามออกมา และมีคราบเลือดปรากฏขึ้นมาในทะเลสาบ
“ศิษย์พี่ครับ เขาตายแล้วเหรอครับ?” ฉิงหยูถามไป๋กงหยางอย่างสงสัย ผู้มีความสามารถลึกลับจะตายอย่างนั้นเหรอ?
ไป๋กงหยางจ้องไปที่ทะเลสาบแล้วกล่าว “เหยนหลิงยังมีชีวิตอยู่ เขาหนีรอดไปได้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ ส่วนเลือดนั้นคือที่เขาจงใจบ้วนออกมาเพื่อลวงศัตรู ข้ารู้สึกได้ว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่ภายในขอบเขตจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้า และเขาได้หนีไปอย่างรวดเร็วในทะเลสาบนั่น แต่ต่อให้เขาหนีจากตรงนี้ไปได้เหล่าคนที่อยู่ด้านนอกประตูสุสานกระบี่ก็ผ่านไปไม่ง่ายอยู่ดี”
“ฮึ่ม จะเอากระบี่ผ่าสวรรค์ของสำนักซูซานไปมันไม่ง่ายนักหรอกนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรอ้วนพูดอย่างขึงขัง ถึงเขาจะไม่ได้ไล่ตามเหยนหลิงไป แต่เขาก็ยังมีสีหน้าไม่ดีอยู่ดี เพราะเขาปล่อยให้เหยนหลิงหนีรอดภายใต้จมูกของเขาไปได้
ถึงแม้กระบี่ผ่าสวรรค์นั้นจะทรงพลัง และยังเป็นของวิเศษในสำนักอีกด้วย แต่เหตุผลที่พวกเขาเข้ามาในสุสานกระบี่นั้นสำคัญกว่า และพวกเขาก็ไม่คิดที่จะเสียงานใหญ่ด้วยเรื่องเล็กๆด้วย
“นี่ เหลียนเจวี่ยคุณจะนิ่งเงียบอีกนานไหม? เมื่อสักครู่คุณพนันกับพี่ชายของผมเอาไว้นี่ถึงเวลาต้องจ่ายแล้วนะ” ฉิงหยูยิ้มและมองไปที่เหลียนเจวี่ยที่กำลังหน้าซีด
เหลียนเจวี่ยก็ได้ก่นด่าในใจของเขา: เจี้ยนอ้าว, เซวียนหยวนหู เจ้าพวกขยะสำนักซูซาน ไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกแกจะหยุดคนคนเดียวไว้ไม่ได้, ถึงแม้ว่าเขาจะด่าว่าในใจ แต่เขาก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะไม่ยอมรับเรื่องนี้ออกไป
“เหยนหลิงหนีไปได้งั้นเหรอ? เจ้าก็เห็นน้ำในทะเลสาบเป็นสีแดง ข้าคิดว่าเขาคงตายในนั้นไปแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้าต่างหากที่แพ้เดิมพันนี้!” เหลียนเจวี่ยกล่าว
“นี่แก…..เพราะไม่อยากจะยอมรับการพ่ายแพ้ ถึงกับต้องสร้างเรื่องขึ้นมาเลยงั้นเหรอ?” ฉิงหยูตะโกน
“หึ มีใครเห็นว่าเขารึเปล่าล่ะว่าเขารอด อย่างดีพวกเราก็แค่เสมอกันเท่านั้น”
ฉิงหยูที่คิดจะต่อร้อต่อเถียงกับเหลียนเจี่ยอยู่นั้น ฉิงเทียนก็ได้ดึงฉิงหยูเอาไว้แล้วพูดผ่านทางโทรจิต “เรามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ แล้วเราค่อยไปคิดบัญชีกับเขาทีหลังก็ได้ ยังไงเขาก็หนีหนี้ของวิเศษและก้มหัวไม่ได้อยู่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าฉิงเทียนและฉิงหยูไม่ได้พูดอะไรต่อ เหลียนเจวี่ยก็ถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่พวกเขายอมเชื่อ
“ฟู่”
แล้วทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนไป แล้วทะเลสาบก็ได้หายไปฉิงเทียนและคนอื่นๆก็พบว่ามีสองประตูอยู่รอบตัวเขา ประตูหนึ่งเขียนไว้ว่า “เกิด” กับอีกประตูเขียนไว้ว่า “ตาย”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เกิดกับตาย?” ผู้คนต่างก็พากันมองดูประตูด้วยความสงสัย พวกเขานั้นอยากที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่มีทางออกทางอื่นเลย
“มีอะไรอยู่เบื้องหลังประตูเกิดกับตายกันแน่นะ ประตูหนึ่งรอดกับอีกประตูตายอย่างนั้นเหรอ?” ผู้คนต่างก็จับจ้องไปที่ประตูทั้งสองบานนั้น แล้วทั้งกลุ่มก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ถ้าอยากที่จะออกจากห้องนี้ไป ก็คงจะต้องผ่านประตูเกิดกับตายไป แต่ออกประตูไหนแล้วจะรอดแล้วประตูไหนตายกันล่ะ งานนี้จะต้องมีใครสักคนเข้าไปเสี่ยงก่อนแล้ว
แล้วผู้คนต่างก็มองหน้ากันเอง โดยไม่รู้เลยว่าแต่ละคนคิดอะไรกันอยู่
“ขอโทษทีนะ” เหลียนเจวี่ยเรียกโช่วเหนียนแล้วกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะต้องร่วมมือกันแล้วล่ะโช่วเหนียน มันจะต้องมีประตูใดประตูหนึ่งระหว่างเกิดกับตาย ถ้าพวกเราไม่ร่วมมือกันอำนาจต่อรองของพวกเราจะน้อยมาก และคงได้ตกเป็นหนูทดลองของสำนักซูซานและสองพี่น้องหยิงเป็นแน่”
“เหลียนเจวี่ย ตั้งแต่เมื่อสักครู่เจ้าออกจะดูลุกลี้ลุกลนมากไปหน่อยนะ?” โช่วเหนียนกระซิบกระซาบ “ข้าไม่คิดจะร่วมทีมกับเจ้าหรอก”
“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจถ้าไม่ร่วมทีมกับข้า” เหลียนเจวี่ยกล่าวแล้วจากนั้นก็ได้หันไปหาหลินเยว่ที่อยู่ใกล้ๆแทน
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร ฉิงอวี้เอ๋อก็ได้หันหน้ามาหาหลินเยว่แล้วกล่าว “หลานเยว่ ตอนนี้มีเพียงพวกเราสามคนที่เป็นผู้หญิงในสุสานกระบี่แล้ว พวกเราน่าจะร่วมมือกันนะ”
แล้วเธอก็ดึงหลินเยว่มาเข้าร่วมกับกลุ่มของหยูชูซิน แล้วเซวียนหยวนหูแห่งสำนักซูซานก็ได้หันมามองเหลียนเจวี่ย อย่างที่เขาว่าเอาไว้ลูกพลับที่อ่อนนุ่มนั้นอร่อย”
เหลียนเจวี่ยนั้นอ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ แน่นอนว่าผู้ที่จะต้องตกเป็นหนูทดลองเป็นคนแรกย่อมเป็นเหลียนเจวี่ย นี่จึงเป็นเหตุที่เหลียนเจวี่ยมองหาใครสักคนมาร่วมทีมกับเขาก่อน!
เขาเองก็รู้ดีว่าตัวเขานั้นอ่อนแอที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้ และเขาก็เห็นผู้คนที่พากันมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่ดี เหลียนเจวี่ยจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้กลับไป


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านค้าจากแดนสวรรค์ (仙界淘宝) ข้ามได้รีรันเฉยๆของเก่าหาย