บทที่ 1126 ปู่หลาน
ร้อยล้านปีต่อมา ดินแดนเวิ้งว้างคึกคักขึ้น มีสีสันขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ขาวโพลนเช่นนั้นอีกต่อไป มีโลกมากมายนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่ นับตั้งแต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างยอดมหามรรคตลอดจนระดับล่างอย่างเซียนทองต้าหลัวบุกเบิกฟ้าดินขึ้น เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุด
ในโลกมหามรรคแห่งหนึ่ง มีโลกขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาเลยตั้งอยู่ท่ามกลางหมื่นพันโลกา
ใต้ท้องนภาคราม เขาเขียวขจีทอดเรียงราย
หานเจวี๋ยนั่งสมาธิอยู่ริมหน้าผาที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา ด้านหน้ามีหมอกหนาปกคลุม ยอดเขาสูงตระหง่านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูสลัวเลือนราง
เขาระงับแสงเทพของยอดสมบัติบนกายไว้ สวมอาภรณ์สีขาว ปลิวสะบัดตามลม ผมสีดอกเลาปลิวไสวแผ่พลิ้ว สีหน้าของเขายังคงอ่อนเยาว์หล่อเหลา เมื่อจับคู่กับผมสีดอกเลาแล้วกลับเรียกได้ว่าช่วยขับเน้นให้ผิวพรรณผุดผาด สง่างามทรงภูมิ
‘หากต้องการก้าวข้ามเทพผู้สร้างไป ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานไหน โชคดีที่อายุขัยต้นกำเนิดเพิ่มขึ้นตามตบะอยู่ตลอด’
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น มองหมอกทึบบดบังนภาเบื้องหน้า คิดอยู่เงียบๆ
หลังจากบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดขึ้น เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย สรรพสิ่งมองเห็นเพียงโลกที่ไร้ขอบเขตสิ้นสุดอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่เขาเห็นคือการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์พื้นฐานในดินแดนเวิ้งว้าง
สรรพสิ่งกระจายตัวอยู่ในดินแดนเวิ้งว้าง มหาโชคยิบย่อยกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ทำให้มีมหาโชคใหม่ๆ บางส่วนถือกำเนิดขึ้นจากกฎเกณฑ์พื้นฐาน ซึ่งมีมหาโชคบางอย่างที่หานเจวี๋ยยังไม่อาจเข้าใจได้ในขณะนี้
บางทีนี่อาจจะเป็นกลไกป้องกันตัวอย่างหนึ่งของดินแดนเวิ้งว้าง ก็เหมือนที่เทพมารอนธการและเจ้านวฟ้าบุพกาลเผชิญมาแล้ว มันกำลังสร้างปัญหาให้แก่ผู้ไร้พ่ายโดยไม่ตั้งใจเพื่ออาศัยเหตุนี้พัฒนาตัวเอง
ตอนนี้หานเจวี๋ยควบคุมได้เพียงกฎเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น ยังไม่มีอำนาจบงการกฎเกณฑ์พื้นฐานอย่างแท้จริง หากบงการอย่างแท้จริงได้ก็สามารถสรรค์สร้างหรือทำลายกฎเกณฑ์พื้นฐานได้ทุกเมื่อ
บางทีในภายภาคหน้าอาจจะมีเทพผู้สร้างรายที่สองปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่หานเจวี๋ยต้องทำคือรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญไว้ พัฒนาความแข็งแกร่งของตนอยู่ตลอดไม่หยุดยั้ง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องตัดเส้นทางของชนรุ่นหลัง เพียงรักษาตำแหน่งของตนให้มั่นคงไว้ จากประสบการณ์ความล้มเหลวของผู้ไร้พ่ายสองรุ่นก่อนหน้านี้พิสูจน์แล้วว่าเส้นทางนี้มิใช่วิธีที่ถูกต้อง
แต่แน่นอนว่าบางครั้งก็ต้องหาเวลาผ่อนคลายกันบ้าง
อย่างเช่นตอนนี้
“ฮ่าๆๆ! ข้าเหินกระบี่ได้แล้ว!”
เสียงหัวเราะดังลั่นแบบเด็กๆ แว่วเข้ามา มองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเหยียบกระบี่ไม้เหาะฝ่าหมอกหนาออกมา เขาสวมอาภรณ์ที่ตัดเย็บขึ้นจากหนังสัตว์สีน้ำตาล ใบหน้าดำคล้ำเล็กน้อย อายุดูราวสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น เครื่องหน้าเด่นชัดคมคาย
เด็กหนุ่มยืนโงนเงนอยู่บนกระบี่ไม้ คล้ายจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
หานเจวี๋ยมองเขา ยิ้มออกมานิดๆ
‘หมื่นชาติผ่านไป นิสัยของเด็กคนนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ทุกชาติ น่าสนใจดี ดูเหมือนการกลับชาติมาเกิดผ่านห้วงมิติของต้นฝูซังก็ยังขจัดนิสัยเดิมของเขาทิ้งไม่ได้ นิสัยดั้งเดิมของอนธการสิ้นแสงยังคงร้ายกาจนัก’
หานเจวี๋ยมองเด็กหนุ่มพลางคิดเงียบๆ
ชาตินี้เด็กหนุ่มมีนามว่าฉู่เสี่ยวชี ถือกำเนิดในครอบครัวมนุษย์ธรรมดาของโลกสามัญ เนื่องจากเป็นบุตรคนที่เจ็ดในครอบครัวซ้ำยังเป็นน้องเล็กสุด ดังนั้นบิดามารดาจึงตั้งชื่อว่าเสี่ยวชี
ตั้งแต่เล็กฉู่เสี่ยวชีฝักใฝ่การบำเพ็ญเซียนมาตลอด ด้วยเหตุนี้พออายุสิบสามก็จากบ้านมา ออกท่องโลกกว้าง ผลลัพธ์ย่อมน่าอนาถนัก ประเดิมด้วยการถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปก่อน ต่อมาก็เกือบจะพลาดท่าตายคาปากสัตว์ร้าย ล้มลุกคลุกคลานผ่านมาได้หนึ่งปี ขณะที่ถูกภูติตนหนึ่งตามไล่ล่าจนกระโดดลงจากหน้าผา จากนั้นก็บังเอิญพบ ‘ท่านเซียน’ อย่างหานเจวี๋ยเข้า
ทั้งสองอยู่ร่วมกันมาครึ่งปีแล้ว หานเจวี๋ยถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญพื้นฐานให้ฉู่เสี่ยวชีรวมถึงวิชาขี่กระบี่ให้ ใช้เวลาหนึ่งเดือนฉู่เสี่ยวชีถึงได้เรียนรู้ได้อย่างพอถูไถ คุณสมบัติธรรมดาสามัญ จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ในสภาวะถูกผนึก ดังนั้นคุณสมบัติจึงขึ้นอยู่กับการกลับชาติมาเกิดล้วนๆ
หมื่นชาติที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ฉู่เสี่ยวชีกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตสามัญทั้งสิ้น ชีวิตเรียบง่าย เคยฝึกบำเพ็ญมาบ้างเช่นกัน ระดับสูงสุดคือเป็นครึ่งอริยะ เพิ่งจะบรรลุครึ่งอริยะก็ถูกศัตรูปิดล้อมสังหาร เรื่องนี้ยังคงถูกชนรุ่นหลังในโลกแห่งนั้นโจษจันถึงมาจนปัจจุบันนี้ แน่นอน ไม่ได้เอ่ยถึงในทางที่ดีเลย แต่เป็นการหัวเราะเยาะขบขัน
นิสัยของฉู่เสี่ยวชีไม่สอดคล้องกันอย่างยิ่ง ช่วงเวลาส่วนใหญ่จะร่าเริงสดใส แต่บางครั้งก็มืดมนยิ่งนัก แตกต่างกับอนธการสิ้นแสงอย่างสิ้นเชิง
เหาะอยู่ได้หนึ่งก้านธูป พลังวิญญาณของฉู่เสี่ยวชีก็ถูกผลาญจนเกลี้ยง เขาร่วงลงมาอยู่ข้างๆ หานเจวี๋ย หมอบคุดคู้อยู่บนพื้น อ้าปากหอบหายใจ เหงื่อไหลดั่งสายฝน
หานเจวี๋ยรู้สึกขบขัน เห็นชัดๆ ว่าจะนอนหงายก็ได้ ทว่าเอาแต่หมอบสองมือยันพื้นแถมยังปล่อยลิ้นห้อยออกมา ดูคล้ายสุนัขตัวหนึ่ง
แต่ท่าทางนี้กลับมีความคล้ายคลึงกับอนธการสิ้นแสงอยู่หลายส่วน
ในชาติก่อนๆ หานเจวี๋ยไม่เคยมาปรากฏตัวในชีวิตของฉู่เสี่ยวชีเลย ชาตินี้คือชาติแรก
“ท่านเซียน ท่านใช้วิชาขี่กระบี่ได้นานเพียงใด
“คงนานยิ่งนักเป็นแน่ ท่านใช่ผู้บำเพ็ญระดับรวมแก่นปราณหรือไม่
“ตำนานเล่าว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวมแก่นปราณเหาะเหินได้
“ท่านอยู่ที่นี่มานานเพียงใดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...