สามกระบี่แยกเงา ปราณกระบี่เปลี่ยนเป็นเงา สามารถใช้พลังวิญญาณที่แตกต่างกันได้มากสุดสามสาย หนึ่งพลังวิญญาณหนึ่งกระบี่เงา
สั่งการได้ประหนึ่งแขน!
สุดยอดวิชานี้สำแดงออกมาได้อย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวได้ว่าขณะที่กระบี่เงาสามสายสลายไป หานเจวี๋ยก็ใช้มันได้อีก จนกว่าพลังวิญญาณจะหมดลง
พลังวิญญาณของหานเจวี๋ยก้าวหน้าเหนือผู้บำเพ็ญระดับเดียวกันไปไกล อย่างไรเสียสิ่งที่เขาฝึกฝนก็เป็นวิชายุทธ์ที่สืบทอดมาจากจักรพรรดิเซียน วิชาวัฏจักรหกวิถี!
วิชาวัฏจักรหกวิถีนอกจากจะฝึกฝนพลังวิญญาณทั้งหกชนิดแล้ว พลังวิญญาณทุกชนิดยังสามารถฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่ทรงพลังได้
‘นับตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่ใช่ผู้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว’
หานเจวี๋ยคิดอย่างภาคภูมิใจ
เขากลับเข้ามาในหอ ปลุกจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า และเตรียมตัวฝึกบำเพ็ญต่อ
ตบะต่างหากคือกุญแจสำคัญ
ตบะยิ่งสูง อิทธิฤทธิ์ของสุดยอดวิชาที่สำแดงก็ยิ่งแกร่งขึ้น!
รอจนเขาสำเร็จระดับปราณก่อกำเนิด แล้วสำแดงสามกระบี่แยกเงาอีกครั้ง อานุภาพก็จะถล่มฟ้าทลายดิน!
หานเจวี๋ยคาดหวังรอคอยยิ่งนัก!
…
หลายวันต่อมา
ยอดเขาหยกวิเวกส่งลูกศิษย์มาอีกสองคน คนหนึ่งคือฉางเยวี่ยเอ๋อร์ อีกคนคือศิษย์พี่เมิ่งเหอ
เมิ่งเหอเป็นศิษย์พี่เจ็ดของยอดเขาหยกวิเวก ตบะบรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้า ความสามารถไม่ธรรมดา
“เหตุใดป่าไม้ด้านนอกถึงถูกตัดเป็นท่อน เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งเหอถามด้วยความสงสัย
หานเจวี๋ยตอบว่า “ก่อนหน้านี้มีสัตว์ปีศาจจะล้อมโจมตีข้า โชคดีที่ได้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งช่วยไว้”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พินิจมองหานเจวี๋ย ก่อนจะกล่าวถาม “ศิษย์น้อง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ระหว่างที่พูด นางยื่นมือจะจับหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยรีบถอยหลังหนึ่งก้าวทันที
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พลันโมโห ตำหนิเขาว่า “ท่าทางที่ถอยกรูดไปนี่เจ้าตั้งใจทำหรือ”
หานเจวี๋ยแสร้งกระแอมกระไอ “อาจารย์เคยกล่าวเตือนเอาไว้ ศิษย์ยอดเขาหยกวิเวกต้องไม่…”
“ฮึ เจ้าฝันหวานไปแล้ว ศิษย์พี่แค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้นเอง!”
เมิ่งเหอมองแล้วอดหลุดยิ้มส่ายหน้าไม่ได้
ทว่าตนเองไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร ถึงแม้หานเจวี๋ยจะเก็บเนื้อเก็บตัว แต่รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นที่เลื่องลือไปแล้ว
ผู้บำเพ็ญหญิงฝ่ายในหลายคนล้วนพูดถึงเรื่องที่ยอดเขาหยกวิเวกมีลูกศิษย์หนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาเหนือใครผู้หนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม
เมิ่งเหอได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นหานเจวี๋ย
อย่าว่าแต่ยอดเขาหยกวิเวกเลย มองไปทั้งสำนักฝ่ายใน ก็หาใครที่รูปงามเทียบหานเจวี๋ยไม่พบ
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถึงแม้มีรูปลักษณ์ใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญหญิงระดับเดียวกันในสำนักก็ยังห่างชั้นกันระดับหนึ่ง
ศิษย์น้องหานเจวี๋ยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคู่บำเพ็ญเพียร!
“อาจารย์เกรงว่าเจ้าจะเป็นอันตราย จึงส่งพวกเรามาช่วย ได้ยินมาว่าลัทธิมารฟ้ามืดอาจจะแทรกซึมเข้ามาในแดนหมื่นปีศาจแล้วก็เป็นได้ พวกเราต้องระวังตัวกันให้มากยิ่งขึ้น” เมิ่งเหอกล่าวเตือน
ลัทธิมารฟ้ามืด?
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
มิน่าล่ะ หากว่าเขากำราบมังกรขาวใจพยัคฆ์ขาวลง จะต้องถูกลัทธิมารฟ้ามืดจับตามองแน่
ที่แท้แดนหมื่นปีศาจก็มีลัทธิมารฟ้ามืดแทรกซึมเข้ามาแล้ว
บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หลี่ชิงจื่อมายังแดนหมื่นปีศาจ
อันตรายจริงๆ
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกอยากออกไปจากแดนหมื่นปีศาจ
“ศิษย์น้องหญิงพักผ่อนก่อนเถอะ ศิษย์พี่จะออกไปดูสักหน่อย”
เมิ่งเหอกล่าวประโยคนี้ทิ้งไว้แล้วเดินออกไปจากหอ
หานเจวี๋ยเดินไปด้านข้าง นั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญต่อ ไม่ให้โอกาสฉางเยวี่ยเอ๋อร์ได้ชวนคุย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เบ้ปาก เริ่มฝึกบำเพ็ญด้วยเช่นกัน
นับจากที่รู้ว่าหานเจวี๋ยไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้า นางก็ได้รับแรงกระตุ้น ปกติจะปิดด่านฝึกฝนตลอด
ทว่าเรื่องตบะของหานเจวี๋ย เซียนซีเสวียนห้ามไม่ให้นางแพร่งพรายออกไป ดังนั้นศิษย์ยอดเขาวิเวกคนอื่นๆ จึงไม่มีใครรู้ตบะของหานเจวี๋ย
สองวันต่อมา
เมิ่งเหอเพิ่งกลับมา
สภาพเขาสะบักสะบอมเล็กน้อย
หานเจวี๋ยและฉางเยวี่ยเอ๋อร์รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ
“ข้าไปเจอปีศาจใหญ่ตนหนึ่งเข้า เทียบเท่ากับระดับรวมแก่นปราณ เกือบตายเสียแล้ว” เมิ่งเหอเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก กล่าวอย่างรู้สึกหวาดผวาในใจ
หานเจวี๋ยถามขึ้นว่า “ปีศาจในบริเวณนี้เยอะหรือ”
“หลายลี้ด้านนอกมีสัตว์ปีศาจเต็มไปหมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดใช้ค่ายกลขังไว้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง จุดที่ข้าเจอสัตว์ปีศาจค่อนข้างไกล ไม่ตามมาคุกคามเราถึงที่นี่หรอก” เมิ่งเหอตอบ
“เช่นนั้นศิษย์พี่รีบรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถิด”
“อืม”
เมิ่งเหอนั่งสมาธิ กำหนดลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่นานนัก เขาก็กระอักเลือดออกมา เลือดเป็นสีดำ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หรือว่าจะถูกพิษเข้า?
‘โชคดีที่ข้าไม่ได้เตร็ดเตร่ไปทั่ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เป็นคนต้องไม่ทำอะไรเกินตัว’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...