บทที่ 175 การเชื้อเชิญจากวังเทพ คุณสมบัติของฟางเหลียง – ตอนที่ต้องอ่านของ ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
ตอนนี้ของ ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 175 การเชื้อเชิญจากวังเทพ คุณสมบัติของฟางเหลียง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 175 การเชื้อเชิญจากวังเทพ คุณสมบัติของฟางเหลียง
จักรพรรดิเทพกระบี่?
หานเจวี๋ยแอบสงสัย รีบตรวจสอบดูในค่าความสัมพันธ์ทันที
ไม่นานเขาก็หารูปประจำตัวของจักรพรรดิเทพกระบี่พบ
จักรพรรดิเทพกระบี่ดูผ่านโลกมาแล้วอย่างโชกโชน แต่ว่าแววตาคมกริบยิ่งนัก
[จักรพรรดิเทพกระบี่: ระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ บุตรแห่งสวรรค์ด้านมรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบล้านปีของวังเทพ และก็เป็นศิษย์น้องของจั้งกูซิง เนื่องจากรับรู้พรสวรรค์ของท่าน จึงรู้สึกสนใจท่านมาก มีความตั้งใจที่จะรับท่านเข้าวังเทพ ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
‘คนของวังเทพ?
ระดับเซียนทองไท่อี่ขั้นสมบูรณ์!
แค่ก้าวเดียวก็จะถึงระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว?
หานเจวี๋ยแอบตกใจ คาดไม่ถึงว่าจั้งกูซิงจะมีศิษย์น้องที่เก่งกาจเพียงนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาไม่น่าจะอ่อนแอเช่นนี้นี่!
“ไม่อย่างนั้นเจ้าไปที่วังเทพเถอะ ข้าช่วยแนะนำให้เจ้าได้ แม้ว่าวังเทพจะไม่ใช่ระบบดั้งเดิมของเทพเซียน แต่อิทธิพลก็ขยายใหญ่ไม่มีหยุด วังสวรรค์เองก็ต้องไว้หน้า” จั้งกูซิงเอ่ยปาก
หานเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านเป็นคนของวังเทพหรือ”
เขาอดยกนิ้วให้การแสดงของตนเองไม่ได้
จั้งกูซิงเห็นเขาประหลาดใจเช่นนี้ ก็รู้สึกภาคภูมิใจอยู่รางๆ
“ใช่ แต่ก่อนเคยเป็น ตอนนี้ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว เพียงแต่ก็มีสายสัมพันธ์อยู่บางส่วน หากเจ้าไปที่วังเทพ จะไม่ถูกปฏิบัติด้วยอย่างอยุติธรรมแน่” จั้งกูซิงกล่าวเบาๆ
หานเจวี๋ยลังเล
มู่หรงฉี่มีความแค้นกับวังเทพ เขาจะไปได้อย่างไร
ตอนนี้อาณาเขตเต๋าก็เปิดแล้ว ไอเซียนเพิ่มมากขึ้น เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงวังเทพเลย
หานเจวี๋ยยิ้มกล่าว “ข้าขอคิดดูก่อนแล้วกัน”
จั้งกูซิงเอ่ย “เจ้าทิ้งคนรอบข้างไม่ลงหรือ เส้นทางการบำเพ็ญเพียรสายนี้ ยากนักที่จะพาคนในครอบครัวไปด้วยได้ แม้แต่มหาจักรพรรดิวังเทพก็ยังปกป้องผู้คนทั้งหมดที่อยู่ข้างกายได้ยาก เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะฝึกบำเพ็ญถึงระดับจักรพรรดิเซียน มีชีวิตเป็นอมตะ แม้แต่บุตรแห่งสวรรค์อย่างเจ้า หากอยากฝึกบำเพ็ญถึงจักรพรรดิเซียนก็ต้องอาศัยโอกาสวาสนาด้วย”
หานเจวี๋ยไม่เชื่อเรื่องนอกรีต แต่เขาไม่กล้าโต้แย้งจั้งกูซิงโดยตรง ถึงอย่างไรจั้งกูซิงก็มีเจตนาดี
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเดินถึงทางตันจริงๆ ค่อยส่งข้าไปวังเทพเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าข้าอยากปกป้องคนรอบข้าง ข้าเพียงแค่ไม่อยากขึ้นสู่สวรรค์”
โลกเบื้องบนมีศัตรูมากไปหน่อย ไม่อาจขึ้นไปได้จริงๆ!
ตั้งแต่มีอาณาเขตเต๋า จิตใจทะเยอทะยานของหานเจวี๋ยก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น
ขึ้นสวรรค์ไปคนเดียวเสี่ยงอันตรายมาก เขาต้องพาศิษย์และศิษย์หลานขึ้นไปด้วยกัน
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพัก หานเจวี๋ยก็เดินอ้อมจั้งกูซิงตรงไปข้างหน้าต่อ
ครั้งนี้เขาจะพยายามด้วยกำลังทั้งหมด ดูว่าตัวเองจะตระหนักรู้ไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิได้ถึงขั้นไหน
จั้งกูซิงหันไปมองแผ่นหลังของเขา ในใจรู้สึกปลงอนิจจังอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กกะโปโลที่ดูมุทะลุในตอนแรก ตอนนี้จะเป็นเซียนสวรรค์เสียแล้ว
นี่ผ่านมาแค่กี่ปีเอง
สำหรับจั้งกูซิง หนึ่งพันปีราวกับฝันหนึ่งตื่น ผ่านไปเร็วมาก
นี่ก็เป็นสาเหตุที่มีคำกล่าวว่า เวลาบนสวรรค์หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปีในโลกมนุษย์
‘บางที เขาอาจจะสร้างคลื่นลมของตัวเองในภพทั้งหกก็เป็นได้’
จั้งกูซิงคิดเงียบๆ กลับเฝ้ารอคอยเล็กน้อยด้วยซ้ำ
หานเจวี๋ยก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว แซงหน้าผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนที่กำลังเดินอยู่ในแม่น้ำมรรคกระบี่
แม่น้ำมรรคกระบี่ตรงหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีม่วง คล้ายกับกล้องสลับลายที่วิจิตรตระการตา
เมื่อมาถึงจุดนี้ เงาร่างของผู้ฝึกกระบี่ที่เดินหน้าต่อก็ลดลงมากแล้ว
หานเจวี๋ยหันกลับไปมอง ก็ไม่เห็นจั้งกูซิงอีกต่อไป
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินหน้าต่อ
แม้จะรับรู้ได้ถึงพลังกดดัน ทว่ายังไม่ถึงระดับที่ไม่สามารถเดินต่อได้
เขาอยากจะเห็นขีดจำกัดความสามารถในการเข้าใจมรรคกระบี่ของเขา
ผ่านไปนาน
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยก็เริ่มวิงเวียน ราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ไว้บนตัว ทุกย่างก้าวลำบากเป็นอย่างยิ่ง
เขามองเห็นร่างสีดำร่างหนึ่งอยู่ด้านหน้า เดินนำหน้าเขาอยู่ตลอด ฝีก้าวหนักแน่นมาก ไม่ช้าและไม่เร็ว ไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย
‘เขาคือเทพเซียนจากที่ใดกัน’
หานเจวี๋ยอดคิดไม่ได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด หานเจวี๋ยถึงเกิดความรู้สึกว่าตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้
หานเจวี๋ยสะบัดศีรษะแล้วเดินหน้าต่อไป
เดินไปอีกราวๆ ยี่สิบก้าว เขาก็ก้าวเดินลำบาก ไม่อาจไปต่อได้อีก ได้แต่มองดูร่างสีดำนั้นเดินห่างออกไปไกล
เขาทอดถอนใจ จากนั้นก็ออกมาจากแม่น้ำมรรคกระบี่
เขาต้องทะลวงระดับต่อ ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี
……
แดนปีศาจ
จี้เซียนเสินยืนอยู่บนยอดเขา กำลังมองฟางเหลียงที่กำลังทำศึกใหญ่กับราชาปีศาจหลายตนอยู่ไกลๆ ปลงอนิจจังเหลือหลาย
‘พรสวรรค์ของเจ้าเด็กนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ใกล้จะตามทันข้าแล้ว’
จี้เซียนเสินแอบคิดเงียบๆ ที่จริงเขาเคยได้ยินชื่อฟางเหลียงมานานแล้ว ตอนแรกยังไปหาหานเจวี๋ยเพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟางเหลียงโดยเฉพาะ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฟางเหลียง เขาจำต้องแสดงออกว่าไม่สนใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอันดับหนึ่งในหล้า จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับผู้เยาว์คนหนึ่งได้อย่างไร
ทว่าตระเวนต่อสู้ด้วยกันมานานหลายปี จี้เซียนเสินพบว่าพรสวรรค์ของฟางเหลียงเหนือกว่าที่เขาคาดคิดมาก
ดวงชะตาของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว มักจะพบโอกาสวาสนาอยู่เสมอ กระทั่งยังสามารถทะลวงระดับในขณะต่อสู้ได้ ขัดต่อหลักการโดยทั่วไป
จี้เซียนเสินรับรู้ได้ถึงวิกฤต รู้สึกว่าตนเองไม่อาจหลงระเริงไปกับตบะในตอนนี้ ยังต้องใช้เวลาในการฝึกบำเพ็ญ รีบทำเวลาก้าวข้ามระดับมหายาน และกลายเป็นมนุษย์เซียน!
เสียแต่เขากังวลว่าตนเองจะถูกบังคับให้ขึ้นสวรรค์
“เฉาเชาอยู่ในโลกมนุษย์ต่อได้อย่างไร” จี้เซียนเสินสงสัยกับตัวเอง
เขาตัดสินใจว่าจะไปหาหานเจวี๋ยในภายหลัง
เปรี้ยง…
ขณะนี้เอง เมฆดำที่ปั่นป่วนอยู่บนท้องนภาระเบิดอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ อานุภาพกดดันที่น่าพรั่นพรึงแผ่ปกคลุมท้องฟ้าและแผ่นดิน
จี้เซียนเสินเปลี่ยนสีหน้า
อานุภาพกดดันนี้…
เขานึกถึงหยางซ่านในทันที
หรือว่าจะมีการดำรงอยู่จากโลกเบื้องบนลงมายังโลกมนุษย์?
ฟางเหลียงเองก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรีบถอยทันที
บรรดาราชาปีศาจแหงนหน้ามองไป เห็นแค่ว่ามีดวงตาแดงฉานข้างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางเมฆอัสนี มันเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัว กินพื้นที่ท้องฟ้าไปกว่าครึ่งหนึ่ง กำลังก้มมองฟางเหลียงอยู่ ทำให้ฟางเหลียงรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ฮึ! กล้าสังหารเผ่าปีศาจของข้า รนหาที่ตาย!”
น้ำเสียงฮึดฮัดอันเยือกเย็นดังขึ้นตามมา
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...