สรุปตอน บทที่ 6 เข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์ ฝึกฝนรากวิญญาณอัคคี – จากเรื่อง ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ โดย Internet
ตอน บทที่ 6 เข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์ ฝึกฝนรากวิญญาณอัคคี ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตบะของคนผู้นี้อยู่ที่ระดับหลอมปราณขั้นเก้าเช่นกัน
“ข้าน้อยหยางหลัว เป็นผู้ดูแลสายนอกของสำนักหยกพิสุทธิ์ สหายหานให้ข้าตรวจสอบสักครู่ได้หรือไม่ หลายปีมานี้มีผู้บำเพ็ญสายมารแอบเข้ามาในสำนักหยกพิสุทธิ์ของเรา” ผู้ดูแลสายนอกประสานมือกล่าว ท่าทางเกรงใจมาก
บนตัวหานเจวี๋ยไม่มีอะไรเลย และก็ไม่กลัวโดนตรวจสอบด้วย
เขายกมือทั้งสองขึ้นมา
หยางหลัวเริ่มค้นตัว
หลังจากค้นเสร็จก็ถามด้วยความสงสัย “เหตุใดสหายหานถึงไม่มีแม้แต่แหวนเก็บสมบัติหรือถุงเก็บสมบัติเลย”
หานเจวี๋ยตอบอย่างจนใจ “ระหว่างทางที่มาถูกผู้บำเพ็ญสายมารระดับสร้างฐานโจมตี เพื่อรักษาชีวิตไว้ ท่านคงเข้าใจนะ”
หยางหลัวนิ่งเงียบ มองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ท่านแสดงพลังวิญญาณสักหน่อยได้หรือไม่” หยางหลัวถามต่อ
หานเจวี๋ยเข้าใจดี คงอยากจะดูว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญสายมารหรือไม่
เขายกมือขวาทันที ใช้ดรรชนีแทนกระบี่ฟันไปยังหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง
ฟิ้ว!
ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกจากนิ้วชี้ของเขา แทงทะลุหน้าผาไป
หยางหลัวตาเป็นประกายทันที
นี่คือวิชาเวทอันใดกัน
เขาไม่กล้าถามอะไรมาก แต่รับรู้ได้ว่าหานเจวี๋ยไม่ใช่ผู้บำเพ็ญสายมาร
“ไม่มีปัญหาแล้ว ตามข้ามาเถอะ ข้าจะพาท่านไปบันทึกสถานะที่สำนักฝ่ายนอก ตั้งแต่วันนี้ไปท่านก็เป็นศิษย์สายนอกของสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว” หยางหลัวพูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น เขาเดินนำหานเจวี๋ยเข้าไปในหุบเขา
ระหว่างที่เดินอยู่ หานเจวี๋ยก็ถามไปด้วย “สำนักฝ่ายนอกมีศิษย์เท่าใด ถ้าจะเข้าเป็นศิษย์สายในต้องมีเงื่อนไขใดบ้าง”
“สำนักฝ่ายนอกมีศิษย์สองพันกว่าคน มีแค่ระดับสร้างฐานเท่านั้นถึงเข้าไปเป็นศิษย์สายในได้ แต่ว่าระดับสร้างฐานยากนัก ทุกๆ สามปีทางสำนักจะจัดการประลองเล็กๆ ขึ้นมา สามอันดับแรกล้วนมีโอสถสร้างฐาน โอสถสร้างฐานนี้ช่วยให้ระดับหลอมปราณขั้นเก้าทะลวงเข้าสู่ระดับสร้างฐานได้”
“ศิษย์สายในมีเยอะหรือไม่”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด สำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายในตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆ อีกแห่งหนึ่ง แม้แต่ศิษย์สายนอกอย่างพวกเราก็ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ภายในได้ชัดเจน”
“ดูท่าสำนักหยกพิสุทธิ์คงจะเก่งกาจมาก”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น สำนักหยกพิสุทธิ์เป็นถึงสำนักสายธรรมที่มีชื่อเสียงในแดนบำเพ็ญเซียนต้าเยี่ยนเลยทีเดียว”
“แล้วสำนักหยกพิสุทธิ์มีสถานที่สำหรับฝึกฝนพลังวิญญาณอัสนีกับพลังวิญญาณอัคคีหรือไม่”
“สำนักฝ่ายนอกไม่มี ฝ่ายในอาจจะมี หากท่านมีรากวิญญาณอัสนี สามารถยื่นคำขอกับหอผู้อาวุโสได้ ไม่แน่อาจถูกยกเว้นให้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์สายใน รากวิญญาณหายากเช่นนี้ โดยทั่วไปจะได้รับการบ่มเพาะจากสำนักเป็นพิเศษ”
หยางหลัวแอบประหลาดใจ หรือว่าคนผู้นี้จะมีรากวิญญาณอัสนี?
หานเจวี๋ยถามด้วยตาเป็นประกาย “แค่มีรากวิญญาณอัสนีก็เข้าได้แล้วหรือ”
หยางหลัวพยักหน้า
“ศิษย์พี่หยาง ท่านช่วยแนะนำข้าได้หรือไม่ หากข้าเข้าเป็นศิษย์สายในได้ จะไม่ลืมพระคุณอย่างแน่นอน” หานเจวี๋ยพูดเบาๆ
เขายกมือขวาขึ้นมา สายฟ้าแลบออกจากฝ่ามือของเขา
รูม่านตาของหยางหลัวหดเล็กลง
[หยางหลัวผู้ดูแลสายนอกของสำนักหยกพิสุทธิ์เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
หยางหลัวยิ้มกล่าว “ในเมื่อท่านกับข้าต่างก็เรียกพี่เรียกน้องกันแล้ว เรื่องนี้ย่อมต้องช่วยท่านแน่นอน ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปพูดกับหอผู้อาวุโสให้เป็นกรณีพิเศษ”
“ขอบคุณศิษย์พี่หยางมาก ข้าน้อยซาบซึ้งยิ่งนัก!”
“พูดได้ดี พูดได้ดี!”
หยางหลัวค้างอยู่ระดับหลอมปราณขั้นเก้ามายี่สิบปีแล้ว เป็นการยากสำหรับเขาที่จะทะลวงระดับได้อีก สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือการสร้างสายสัมพันธ์
ภายใต้การนำทางของหยางหลัว หานเจวี๋ยมองเห็นศิษย์สายนอกจำนวนไม่น้อยนั่งฝึกฝนอยู่ตลอดทาง
สำนักฝ่ายนอกไม่ได้จัดสรรพื้นที่หรือถ้ำสำหรับบำเพ็ญให้กับบรรดาศิษย์โดยเฉพาะ ทุกคนต่างก็หาพื้นที่รวบรวมปราณตามสะดวก และห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาด
ไม่นานนัก หานเจวี๋ยก็มาถึงกลุ่มสิ่งก่อสร้างของสำนักฝ่ายนอก บ้านเรือนส่วนมากเหมือนกับหอของผู้เฒ่าเถี่ยมาก มีกลิ่นอายโบราณ บนท้องถนนมีศิษย์เดินไปมาไม่น้อย นอกจากผู้บำเพ็ญแล้วยังมีมนุษย์ธรรมดาด้วย
ที่แท้ ในสำนักบำเพ็ญเซียนก็มีข้ารับใช้ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่น้อย ไม่ใช่เพียงนักหลอมโอสถที่เป็นที่ต้องการ
มนุษย์ธรรมดาเองก็ยินดีที่จะถวายตัวรับใช้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต และยังได้กินอิ่มด้วย
หอผู้อาวุโสตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา มีทั้งหมดสี่ชั้น ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมประหลาด
หานเจวี๋ยเดินตามหยางหลัวเข้าไปด้านใน
หยางหลัวเดินไปหน้าโต๊ะรับรองแขกแล้วพูดว่า “มีผู้บำเพ็ญอิสระระดับหลอมปราณขั้นเก้าผู้หนึ่งต้องการเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์ของเรา”
ชั้นหนึ่งไม่นับว่าใหญ่ มีคนแค่ตรงหน้าโต๊ะรับรองแขกเท่านั้น เป็นชายชราผู้หนึ่ง
ชายชราชายตามองหานเจวี๋ยหนึ่งที
สายตานี้ทำให้หานเจวี๋ยตกใจอย่างบอกไม่ถูก
คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะสัมผัสพลังวิญญาณอัคคีได้!
หานเจวี๋ยตัดสินใจฝึกฝนรากวิญญาณอัคคีให้ถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าก่อน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้บำเพ็ญจะเลือกฝึกฝนวิชายุทธ์ได้แค่หนึ่งอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาธาตุเดียว มีน้อยมากที่จะฝึกฝนพลังธาตุทั้งหกสายอย่างหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยมีคุณสมบัติขั้นสุดยอด ย่อมไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย
เขามีความสุขกับการที่ตนเองแข็งแกร่งขึ้น
พูดให้ถูกต้องก็คือความรู้สึกที่อายุขัยเพิ่มขึ้น
ความคิดแรกของหานเจวี๋ยในตอนที่มองเห็นจอแสดงคุณสมบัติก็คืออายุยืน
เขาไม่ต้องการชื่อเสียงลาภยศ!
เขาไม่ต้องการสาวงาม!
เขาต้องการแค่มีอายุยืนยาว จะต้องไม่ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนชาติก่อน!
‘คุณสมบัติของข้าลิขิตไว้แล้วว่าข้าไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายแสวงหาโอกาส ข้าต้องการฝึกบำเพ็ญอย่างวางใจ ต้องไม่ก่อเรื่องวิวาทเด็ดขาด หากไม่จำเป็นก็จะไม่ยั่วยุสร้างศัตรู นอกเสียจากฝ่ายตรงข้ามจะเอาชีวิตข้าให้ได้’
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
……
เพียงพริบตาเดียว
เวลาครึ่งปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
รากวิญญาณอัคคีของหานเจวี๋ยฝึกฝนจนถึงระดับหลอมปราณขั้นสี่แล้ว
ในที่สุดผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักฝ่ายนอกก็กลับมา หยางหลัวมาบอกเรื่องนี้กับหานเจวี๋ยด้วยตนเอง
หานเจวี๋ยเก็บข้าวของ นำถุงเก็บสมบัติมาผูกไว้กับเข็มขัด จากนั้นตามหยางหลัวไปยังหอผู้อาวุโส
“เดิมทีหอผู้อาวุโสลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ข้าผ่านประตูบ้านท่านพอดี เห็นว่าท่านยังฝึกฝนอยู่เลยนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ท่านมุมานะเช่นนี้ ผู้อาวุโสใหญ่น่าจะชื่นชมเลย”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
เป็นเวลาครึ่งปีเต็มๆ ที่หานเจวี๋ยไม่ได้เปิดประตูบ้านเลย
หากไม่มีพลังวิญญาณสั่นกระเพื่อมอยู่ด้านใน คนอื่นคงคิดว่าเป็นบ้านว่างเปล่าหลังหนึ่ง
หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอบคุณพี่หยางมาก วันหน้าหากมีโอกาสได้รับโอสถสร้างฐานมาเยอะ ข้าจะเอามาให้ท่านสักเม็ดแน่”
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...