หานเจวี๋ยแสดงสีหน้าโง่งมทันที
เขาอดไม่ได้รีบถามทันที “เจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ฆ่าทุกคนที่ไม่ยินยอมเช่นนั้นหรือ”
หลี่ชิงจื่อโมโหทันควัน เอ่ยปากอย่างเดือดดาลว่า “ไอ้เลวระยำพวกนี้ ข้าอุตส่าห์ไปขอโทษถึงสำนักแล้ว พวกมันกลับลงมือกับข้าทันที เวลานั้นกระทั่งโอกาสที่จะเอ่ยปากสักแอะยังไม่มี ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักศิษย์สายหลักที่ฝักใฝ่เข้าฝ่ายอธรรมผู้นั้นด้วย นามของมันคือโม่ฟู่โฉว ดูเหมือนตัวมันเองจะไม่เต็มใจใฝ่เข้าฝ่ายอธรรม เกรงว่าคงถูกใส่ร้าย”
หานเจวี๋ยหว่างคิ้วยับย่นเอ่ย “เรื่องเป็นมาอย่างไร”
หลี่ชิงจื่อเริ่มเล่าเรื่องยาวยืดให้เขาฟัง
เขาเริ่มจากความเป็นมาของโม่ฟู่โฉว
โม่ฟู่โฉวมาจากตระกูลโม่ เดิมทีเป็นตระกูลผู้ฝึกตน ทว่ามีพบหลักฐานสมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายอธรรม จึงถูกฝ่ายธรรมมะแต่ละสำนักร่วมมือไล่สังหาร มีเพียงโม่ฟู่โฉวและโม่จู๋เท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้
เซียนเฒ่าเต้าเหลยรับโม่ฟู่โฉวเป็นลูกศิษย์ด้วยตัวเอง และมอบชื่อใหม่ให้เขา โม่ฟู่โฉวจึงกลายเป็นชื่อที่เซียนเฒ่าเต้าเหลยตั้งให้เป็นการส่วนตัว หวังว่าตัวมันนั้นจะลืมความเกลียดแค้นชิงชังในอดีตและกลายเป็นคนใหม่ได้
ครั้งหนึ่งเมื่อโม่ฟู่โฉวออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก บังเอิญพบศัตรูคู่อาฆาตในอดีต จึงสังหารศิษย์สำนักนั้นไปไม่น้อย จากนั้นค่อยๆ ทยอยตามฆ่าเหล่าลูกศิษย์ของสำนักฝ่ายธรรมะที่เกี่ยวข้องกับคดีฆ่าล้างตระกูลในปีนั้น
หลี่ชิงจื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ถึงอย่างไรเขาก็เคยพบเจอโม่ฟู่โฉวมาก่อน ตัวโม่ฟู่โฉวนั้นนับว่าเป็นคนปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างนอบน้อมถ่อมตัวมาตลอด ต่อให้ทนไม่ได้จนลงมือฆ่าศัตรูจริงๆ ครั้งแรกที่พลั้งมือฆ่าศัตรูไปแล้วนั้นเขาควรจะกลับมามิใช่หรือ แต่กลับตามแก้แค้นราวคนบ้าเช่นนั้น
เกรงว่าตอนนี้คงมีไม่น้อยกว่าห้าสำนักที่กำลังไล่สังหารโม่ฟู่โฉว เมื่อหลายปีก่อน โม่ฟู่โฉวอับจนหนทาง จำต้องแสดงพลังพิเศษประจำตระกูลออกมา แต่สุดท้ายพลังนั้นกลับเป็นพลังพิเศษของลัทธิมาร จึงทำให้เขาสู่ฝ่ายอธรรมไปโดยตรง
นับวันคนที่อาศัยพลังวิเศษนี้เพื่อฆ่าคนนั้นมีไม่น้อย โม่ฟู่โฉวกลายเป็นมารโดยสมบูรณ์แบบ ไร้ทางหวนกลับ
“เรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว สำนักเหล่านั้นไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามข้าสักคำ กลับมุ่งไล่สังหารโม่ฟู่โฉวไม่หยุด กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา เจ้าก็น่าจะรู้ ทว่าพอข้าไปเยือนสำนักเพื่อขอโทษนั้น กลับถูกโจมตีอย่างเหี้ยมโหด”
“เรื่องของผู้เยาว์ไหนเลยที่ระดับเจ้าสำนักจะต้องยื่นมือเข้ามาพัวพัน เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นฉวยโอกาสคิดต่อสู้”
หลี่ชิงจื่อยิ่งพูดยิ่งโกรธแค้น ราวอยากร้องไห้ออกมาเต็มแก่
แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนกลับไป
เขาถอนหายใจเอื้อนเอ่ย “ตอนนี้ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมเข้าโอบล้อมพวกเราแล้ว พวกเราคงต้านไม่ไหวเป็นแน่ หรือจะใช้วิธีของเจ้า แอบหลบหนีไปซะ! ”
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งจากไป กวนโยวกังก็บาดเจ็บสาหัส
หากจะหวังพึ่งเพียงหานเจวี๋ย เขาเพียงคนเดียวไหนเลยจะสามารถต้านฝ่ายหลักและฝ่ายมารได้
ถึงอย่างไรสำนักที่ใหญ่บางสำนักย่อมมีผู้บำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณอยู่ด้วย ดังเช่นสำนักกระบี่วิหคชาดที่มีผู้บำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณถึงสองคน เมื่อทุกสำนักร่วมมือกันลงมือแล้ว แน่นอนว่าหานเจวี๋ยเพียงคนเดียวคงต้านไม่ไหว
หานเจวี๋ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมมีผู้บำเพ็ญระดับสุญตาหรือระดับรวมกายาด้วยหรือไม่”
หลี่ชิงจื่อดวงตาเบิกกว้างกล่าวออกมาว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร! ก่อนหน้าที่มีหวงจุนเทียนผู้มีตบะเพียงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นที่เก้าพวกมันก็วางอำนาจบาตรใหญ่กันแล้ว หากพวกมันมีผู้บำเพ็ญระดับสุญตา ไหนเลยจะถูกรังแกอยู่เช่นนี้”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีระดับปรมาจารย์ออกไปฝึกตนข้างนอก เพื่อแสวงหาโชควาสนาเฉกเช่นสำหนักหยกพิสุทธิ์ของเรา”
“ย่อมต้องมีแน่นอน แต่ทว่าข้าไม่เคยได้ยินถึงการดำรงอยู่ของระดับสุญตา เดิมทีแล้วระดับปฐมาจารย์นั้นมักจะออกจากสำนักไปตามลำดับ พวกมันล้วนไม่ต่างจากศิษย์หลานแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่ชิงจื่อพลันลอบถอนหายใจ
หากว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งยังมิจากไปก็คงดีไม่น้อย
ประสบความลำบากมาไม่น้อยกว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะเป็นสำนักที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตาได้เพียงนี้ หากไม่จำเป็นต้องต่อสู้ อยู่อย่างเงียบสงบอีกร้อยปี ย่อมเพียงพอให้กลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าเยี่ยนได้เป็นแน่
จะทำอย่างไรได้เล่า เมื่อช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้พลันเกิดเรื่องขึ้นขึ้นมาก่อน
หลี่ชิงจื่อไร้เรี่ยวแรง
ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักมา เขาทุ่มเทกายใจมาตลอด ทั้งพบเจอความลำบากมาก็มิใช่น้อย
ทว่าสุดท้ายแล้วกลับเห็นเพียงความว่างเปล่า!
หลี่ชิงจื่อเข้าใจความในใจของหานเจวี๋ย ถอนหายใจออกมาแล้ว ค่อยๆ ลุกขึ้น
“เจ้าจงเตรียมพร้อมให้เรียบร้อย ไม่เกินสามวัน สำนักหยกพิสุทธิ์จำต้องหาเส้นทางหลบหนี เร่งมุ่งไปต่างแดน บากหน้าไปขอพึ่งปฐมาจารย์”
หานเจวี๋ยกล่าวโดยไม่รอช้า “หลบหนีทำไม! ข้าไม่คิดจะหนีหรอกนะ แล้วเจ้าจะหนีทำไม”
หลี่ชิงจื่อชะงักงัน
เขาถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าหมายความว่าอะไร”
หานเจวี๋ยตอบอย่างไม่ยี่หระ “ให้พวกมันเข้ามา จะได้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในสำนักหยกพิสุทธิ์หาใช่ปฐมาจารย์”
แต่ไหนแต่ไร ศัตรูในห้วงจินตนาการของหานเจวี๋ยนั้นคือลัทธิมาร!
แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนนั้นนับเป็นสิ่งใดหรือ?
ให้พวกมันบุกเข้ามา!
ในเมื่อกล้ารบกวนเวลาฝึกฝนของข้า ก็อย่าหวังว่าข้าจะให้พวกเจ้าได้กลับไป!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ชิงจื่อดีใจจนเนื้อเต้น
เขารู้จักนิสัยของหานเจวี๋ยดี
เจ้าขี้ขลาดหานเจวี๋ยยังกล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นย่อมแสดงว่ามั่นใจอย่างที่สุด!
“ตอนนี้เจ้าบรรลุระดับใดแล้วหรือ” หลี่ชิงจื่อเอ่ยถามอย่างลังเล
หานเจวี๋ยหัวเราะพร้อมตอบว่า “อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่าระดับปฐมาจารย์”
หา
ไม่ด้อยกว่าหรือ!
กระทั่งสังหารนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง เขายังใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น!
ท่าร่างของตาแก่นั่นเชื่องช้านัก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...