บทที่ 652 ก่อคุณงามมรรคาสวรรค์ ผู้อาวุโสลึกลับ
หลังจากได้ฟังคำตอบของหานมิ่ง หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย
ต้องการให้ข้าพูดตรงๆ หรือ
ไม่ไว้หน้าข้าเลยหรือไร
หานเจวี๋ยเงียบไป
หานมิ่งเองก็เงียบไปเช่นกัน
เงียบกันไปสักพัก หานมิ่งถึงตระหนักได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของตนมีปัญหา หานเจวี๋ยไม่มีทางมาหาตนโดยไร้สาเหตุ
หานมิ่งถามอีกครั้งว่า “ท่านยังอยู่หรือไม่”
“อืม”
“ตกลง ข้ายินดีเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น”
“เช่นนั้นเจ้าก็เก็บข้าวของเถอะ”
“ตกลง”
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป หานมิ่งออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เขตเซียนร้อยคีรี
หานเจวี๋ยปรับสภาวะอารมณ์ เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
หลายปีต่อมา หานมิ่งมาถึงเขตเซียนร้อยคีรี ถูกหานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายเข้าสู่อารามเต๋าโดยตรง เขาไม่ได้ปล่อยหานมิ่งออกไปด้านนอก แต่ให้ฝึกบำเพ็ญอยู่ในอารามเต๋า
หานมิ่งนั่งสมาธิบนเบาะกลม เหลือบมองหานเจวี๋ยอย่างระมัดระวัง
แสงเทพที่ส่องระยับอยู่ทั่วร่างหานเจวี๋ยทำให้หานมิ่งไม่อาจสอดส่องไปถึงร่างจริงได้ เขาเพิ่งเคยสัมผัสถึงแรงกดดันเช่นนี้เป็นครั้งแรก
หานมิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ
ในอดีตเขาเคยเพ้อฝันอยากฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย แต่ทราบถึงนิสัยเย็นชาของหานเจวี๋ยดี จึงได้แต่เพ้อฝันเท่านั้น ยามนี้กลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกเหมือนมิใช่เรื่องจริงอยู่บ้าง
หานมิ่งเยาะหยันตัวเองอยู่ในใจ ตัวเขาเองกำลังคิดอะไรอยู่กัน
เขาเลิกฟุ้งซ่าน เริ่มตั้งใจฝึกบำเพ็ญ
หานเจวี๋ยไม่พูดกับเขาเลยสักประโยค อาจต้องการทดสอบทัศนคติในการฝึกบำเพ็ญและคุณสมบัติของเขา เขาจะขายหน้าไม่ได้!
แต่อย่างที่ทราบกันดี เหตุผลที่หานเจวี๋ยไม่สนใจเขา ก็เพราะเป้าหมายปิดด่านพันปีที่ตั้งไว้ ฝึกบำเพ็ญต่อเนื่องไม่หยุดกลางคัน
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหล่าอริยชนรวมตัวกันในตำหนักเอกภพ
จอมอริยะเสวียนตูกลับมาแล้ว เขากวาดตามองเหล่าอริยชน เอ่ยขึ้นว่า “ข้าร่วมมือกับสหายเต๋าหาน ยึดครองแดนเซียนพิภพแล้ว จากนี้ไปข้าเตรียมจะผนวกแดนเซียนพิภพเข้ากับมรรคาสวรรค์ สร้างอุโมงค์มิติเชื่อมระหว่างสองดินแดน ให้สามารถเดินทางไปมาหากันได้”
แดนเซียนพิภพ!
เหล่าอริยชนมองหน้ากัน พวกเขาล้วนเคยได้ยินมาก่อนว่าดินแดนนี้ ในอดีตกาลแดนเซียนพิภพก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของแดนเซียนเช่นเดียวกับแดนบรรพกาล หลังประสบมหาศึกอริยะ ดินแดนในยุคโบราณพังทลายแยกตัวไปมากมายหลายส่วน ยามนี้ในมรรคาสวรรค์เหลือเพียงแดนเซียนเท่านั้น
ฉิวซีไหลกล่าวว่า “อืม ท่านต้องการให้พวกเราทำสิ่งใด บอกมาได้เลย”
อริยะที่เหลือก็ไม่มีความเห็นเช่นกัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่นับว่าใหญ่หลวงเกินไป
ทว่ามหาจักรพรรดิเซียวเปิดปากเอ่ยขึ้น “ระยะนี้นอกเขตยมโลกปรากฏโลงศพลึกลับใบหนึ่งขึ้น กลิ่นอายลึกล้ำเกินหยั่งวัด ข้าไม่กล้าเข้าใกล้ จำเป็นต้องขอความเห็นจากจอมอริยะ”
“หืม”
จอมอริยะเสวียนตูทอดสายมองออกไปนอกยมโลก
ผ่านไปสักพัก เขาถึงได้มองเห็นโลงศพของสื่อหยวนหงเหมิง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขาเลือนหายไปจากจุดเดิมทันที
อริยะที่เหลือก็รีบตามเขาไป
เหล่าอริยชนปรากฏตัวขึ้นหน้าโลงศพของสื่อหยวนหงเหมิงพร้อมกัน ฟางเหลียงจ้องมองโลงศพ ขมวดคิ้วแน่น
ศิลาจารึกหน้าโลงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ทว่ากลับทำให้เหล่าอริยชนรู้สึกหวั่นใจอย่างน่าประหลาด
“นี่คือสิ่งใด”
“ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไร มหาจักรพรรดิเซียว ไยเจ้าไม่บอกแต่แรก”
“ข้าก็เพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ อีกทั้งจอมอริยะไม่อยู่ พวกเจ้ากล้ามาตรวจสอบหรือ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่กล้าอยู่ดี”
“เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่เคยพบเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย”
“หรือว่าสิ่งที่โจมตีจักรพรรดินีผืนพิภพก่อนหน้านี้จะเป็นสิ่งนี้”
เหล่าอริยชนกระซิบกระซาบกัน จอมอริยะเสวียนตูถ่ายทอดเสียงไปหาจักรพรรดินีผืนพิภพ ในไม่ช้า จักรพรรดินีผืนพิภพก็ปรากฏตัวขึ้น
“ใช่สิ่งนี้หรือไม่ที่ทำร้ายเจ้า” จอมอริยะเสวียนตูชี้โลงศพสื่อหยวนหงเหมิงพลางถาม
จักรพรรดินีผืนพิภพส่ายหน้า “มิใช่ กลิ่นอายต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่คือสิ่งใด มีผู้ใดอยู่ในโลง”
จอมอริยะเสวียนตูตอบ “พวกข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เทพสูงสุดหนานจี๋เลิกคิ้วพลางกล่าวขึ้นว่า “ต้องหาทางผนึกมันหรือไม่”
จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้า
เขาจ้องมองโลงศพสื่อหยวนหงเหมิงอย่างละเอียด ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
และในเวลานี้เอง ศิลาจารึกพลันสั่นไหวรุนแรง สร้างความตื่นตระหนกให้เหล่าอริยชน ทั้งหมดพากันหยิบยอดสมบัติของตนออกมา ตั้งท่าระวังตัวเต็มที่
มองเห็นรอยเลือดปรากฏขึ้นบนศิลาจารึกทีละขีดๆ เขียนเป็นตัวอักษร ราวกับมีหนอนมากมายคืบคลานอยู่บนจารึก กำลังหลั่งโลหิตออกมา
ไม่นานนัก อักขระแถวหนึ่งปรากฏออกมา ดูซับซ้อนเข้าใจยาก
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากฝูซีเทียนศัตรูคู่อาฆาตของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จิ่งเทียนกงสหายของท่านเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการ]
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านดูดซับดวงชะตาเผ่ามังกร พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตแห่งมรรคาสวรรค์น้อย] x6720239
[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านเข้าสู่แดนบรรพกาล]
[ผานซินสหายของท่านเข้าสู่แดนบรรพกาล]
[หานอวี้เชื้อสายของท่านได้รับการเข้าฝันจากเจ้าแม่หนี่ว์วาศัตรูคู่อาฆาตของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
ช่วงนี้ฝูซีเทียนกระตือรือร้นนัก แม้แต่เจ้าแม่หนี่ว์วาก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว ซ้ำยังมาหาหานอวี้อีกด้วย
มีแผนการแน่นอน!
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไป รอจนเขาตรวจดูจดหมายเสร็จสิ้น เขาก็เข้าฝันหานอวี้ทันที
ในแดนความฝัน
หานอวี้ลืมตาขึ้น มองเห็นหานเจวี๋ยที่มีแสงเทพส่องระยับทั่วร่าง เขาก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น แดนมายาหรือ”
หานอวี้ขมวดคิ้วแน่น เสมือนพบพานกับศัตรูตัวฉกาจ
หานเจวี๋ยเอ่ยหยอกเย้า “เจ้าหนู จำข้าไม่ได้หรือ”
เมื่อได้ยินเสียง หานอวี้พลันเบิกตากว้าง เอ่ยเสียงสั่น “ผู้อาวุโส เป็นท่านหรือ”
ถึงแม้จะกราบหลี่เต้าคงเป็นอาจารย์แล้ว แต่เขาไม่เคยลืมเลือนผู้ทรงพลังลึกลับท่านนั้นที่ถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้เขา
หากมิมีผู้ทรงพลังท่านนั้น เขาจะฝึกบำเพ็ญไปถึงขั้นที่ทำให้หลี่เต้าคงต้องตาได้อย่างไร
“ที่แท้เจ้าก็ยังจำข้าได้ ข้านึกว่าพอเจ้ากราบอาจารย์ก็คงลืมข้าไปแล้ว” หานเจวี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ
หานอวี้รีบประสานหมัดเอ่ยวาจา “พระคุณของผู้อาวุโสใหญ่หลวงนัก ข้าไม่มีวันลืมเลือน ผู้อาวุโสมีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ”
หานเจวี๋ยถาม “ระยะนี้มีคนมาเข้าฝันเจ้ากระมัง”
หานอวี้ขมวดคิ้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความฝันจากเจ้าแม่หนี่ว์วา เหตุใดถึงดึงดูดผู้อาวุโสลึกลับมาได้เล่า
เจ้าแม่หนี่ว์วาเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าอริยะมรรคาสวรรค์ เช่นนั้นผู้อาวุโสลึกลับท่านนี้ย่อมไม่อ่อนด้อยเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางสัมผัสได้
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...