บทที่ 695 คุณสมบัติน่าหวาดกลัว
“มัง…มังกร…”
หมอตำแยเห็นเศียรมังกรโผล่ออกมาจากหมู่เมฆ ก็พูดจาตะกุกตะกัก
สองแขนของนางสั่นสะท้านไปหมด โชคดีที่นางยังคงรักษาสติเอาไว้ได้ อุ้มเด็กน้อยในอ้อมแขนเอาไว้แน่น
มังกรทองห้าเล็บมองหมอตำแยที่อยู่ต่ำกว่า นัยน์ตามังกรฉายแววเย็นชา
ขณะที่หมอตำแยใกล้จะล้มหงายหลังเต็มที ทันใดนั้นมังกรทองห้าเล็บพลันกลายเป็นแสงทองสายหนึ่ง หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ร่วงดิ่งลงมา
หมอตำแยตกใจรีบถอยหลังไป แสงทองร่วงลงหน้ากระท่อมไม้ กลายเป็นง้าวยาวสีทองเล่มหนึ่ง ใบง้าวปักลงบนพื้นดิน ตัวด้ามสีทองสั่นไหวนิดๆ ส่องประกายอยู่ใต้แสงตะวัน ดูสง่างามลึกลับอย่างยิ่ง
“แว้…”
จู่ๆ ทารกน้อยในห่อผ้าก็ร้องไห้จ้า เสียงดังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
เขาชูสองมือขึ้น แกว่งไกวไปทางง้าวยาวสีทองไม่หยุด ราวกับต้องการง้าวเล่มนี้
หมอตำแยมองเขา จากนั้นก็มองง้าวทอง อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
ถึงนางจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ทราบดีว่าตนเจอเรื่องแล้ว
เด็กคนนี้ต้องเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิดแน่นอน!
….
ยี่สิบปีต่อมา
ในป่าเขา ชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งกำลังกวัดแกว่งง้าวยาวสีทองเล่มหนึ่งอยู่ ดูดุดันห้าวหาญ
เขาสวมอาภรณ์ที่บุด้วยหนังเสือ เคลื่อนไหวดุดัน เปี่ยมด้วยพละกำลัง ใบหน้าเขาหล่อเหลา ทว่าแฝงความร้ายกาจบางอย่างไว้ เรือนผมยาวกระเซิงเล็กน้อยปลิวสะบัดไปตามลม สองเนตรเจือประกายสีแดง ข่มขวัญผู้คนยิ่งนัก
ห่างออกไปหลายร้อยเมตร หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งเดินลงตามเส้นทางบนเขา แขนขวาของนางมีตะกร้าไผ่สานใบหนึ่งคล้องอยู่ ด้านในบรรจุผลไม้หลากชนิดไว้
นางยกมือขึ้นพลางกวักมือเรียกชายหนุ่มร่างกำยำ ตะโกนว่า “หลิงเอ๋อร์ กลับบ้านไปกินข้าวได้แล้ว”
ชายหนุ่มร่างกำยำชะงักไป หันกลับไปในทันใด เกิดลมโหมกระโชกขึ้น พริบตาเดียวเขาก็มาถึงตรงหน้าหญิงวัยกลางคนแล้ว รับตะกร้าไผ่สานไปจากนาง
“ท่านแม่ ข้าบอกไปแล้วนะขอรับ ว่าไม่ต้องขึ้นเขา ถึงแม้สัตว์ร้ายและปีศาจในละแวกนี้จะถูกข้าสังหารหมดแล้ว แต่ภูเขาสูงชันนัก หากท่านบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร อีกอย่าง อาหารแค่นี้ไม่พอยัดซอกฟันข้าหรอกขอรับ” ชายหนุ่มร่างกำยำบ่น
เขามีนามว่าฉินหลิง ปีนี้อายุยี่สิบแล้ว มีพรสวรรค์น่าตื่นตะลึงถึงแม้เขาจะไม่ทราบเคล็ดวิชาฝึกบำเพ็ญ แต่ความแข็งแกร่งด้านกายภาพกลับเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน สองปีก่อนเขาเคยทดลองผ่าแยกภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งที่สูงหลายสิบจั้ง เป็นที่สะท้านสะเทือนยิ่ง
หญิงวัยกลางคนเอ่ยยิ้มๆ “แม่รู้แล้ว แต่แม่อยู่ว่างๆ ไม่ได้”
สองแม่ลูกเริ่มเดินไปพลางคุยไปพลาง
หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นว่า “หลิงเอ๋อร์ แม่ไม่มีทักษะความสามารถอันใด แต่เขียนจดหมายไปหาท่านตาของเจ้าแล้ว เพื่อแนะนำเจ้าให้ได้ไปฝึกบำเพ็ญที่แดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ คุณสมบัติของเจ้าต้องทำให้ท่านตาของเจ้าชมชอบแน่ พอถึงเวลานั้นเจ้าอย่าได้ต่อล้อต่อเถียงกับท่านตา ออกจากบ้านไปอยู่ด้านนอก ต้อง…”
นางเริ่มบ่นจู้จี้ขึ้นมา
ฉินหลิงขมวดคิ้ว ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ชีวิตเขาพึ่งพาเพียงมารดามาตั้งแต่เล็กทำให้มีความรู้สึกต่อต้านญาติพี่น้องอย่างรุนแรง
เขาเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ท่านแม่ ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญ ข้ากวัดแกว่งง้าวทุกวันก็แข็งแกร่งขึ้นแล้ว”
หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรอกว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่แค่ไหน ผู้บำเพ็ญทรงพลังเหาะเหินดำดิน เด็ดดาวคว้าเดือนได้ เจ้าทำได้หรือไม่”
ฉินหลิงสะอึกไป เถียงไม่ออกแล้ว
“อีกอย่างเจ้าอยากตามหาท่านพ่อของเจ้ามิใช่หรือ อย่างไรก็ต้องออกไปในไม่ช้าก็เร็วนี้อยู่แล้ว ฉวยโอกาสตอนยังหนุ่มแน่น อาศัยคุณสมบัติหาประโยชน์เถอะ มิเช่นนั้นหากรอจนแม่แก่ตาย แล้วเจ้าค่อยออกไป จะถ่วงรั้งให้เจ้าล่าช้า” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยความห่วงใย
พอเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะกำสองมือแน่น ดวงตาฉายแววขุ่นเคือง
บิดากลายเป็นปมในใจของเขามาโดยตลอด
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงทอดทิ้งพวกเขาไป
ยามที่เยาว์วัย เขาเคยสาบานไว้ จะตามหาบิดาให้พบ ถามให้กระจ่าง
เขาจะทำให้บิดาสำนึกเสียใจ!
ในเวลานี้เอง หมู่เมฆสีขาวลอยมาจากขอบฟ้า เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง เมื่อเงยหน้ามองให้ดีๆ พบว่ามีนักพรตเต๋าวัยกลางคนในชุดสีเทาคนหนึ่งอยู่บนก้อนเมฆ มือถือไม้เท้าอันหนึ่ง งามสง่าท่วงท่าดั่งเทพเซียน
เขาร่อนลงเบื้องหน้าสองแม่ลูกอย่างรวดเร็ว ฉินหลิงตกใจปราดเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้ามารดา
ฉินหลิงเพิ่งเคยเห็นคนเหยียบเมฆเหาะเหินเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“เจ้าคิดจะทำอันใด” ฉินหลิงถามเสียงขรึม
นักพรตเต๋าพินิจดูฉินหลิง ดวงตาฉายแววประหลาดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...