ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ นิยาย บท 778

สรุปบท บทที่ 778 สถานะของบรรพชนมาร มิติต้นกำเนิด: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ตอน บทที่ 778 สถานะของบรรพชนมาร มิติต้นกำเนิด จาก ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 778 สถานะของบรรพชนมาร มิติต้นกำเนิด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 778 สถานะของบรรพชนมาร มิติต้นกำเนิด

ไม่ว่าจะเป็นตัวตนใด ขอเพียงมีสติจิตวิญญาณ ก็มักจะเผชิญช่วงเวลาแห่งความสับสนทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยเข้าใจในจุดนี้ เขาก็สับสนอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ หากเข้าปะทะกับบรรพชนมารลู่หยวนมีโอกาสชนะเพียงหกส่วนเท่านั้น ที่สำคัญคือบรรพชนมารลู่หยวนยังไม่ฟื้นพลังเต็มที่เลยด้วยซ้ำ

แบบนี้ไม่ดีเลย!

หานเจวี๋ยจำเป็นต้องนำหนังสือแห่งความโชคร้ายและหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ออกมา เริ่มผสานเข้าด้วยกัน

หลังจากนั้น เขาเข้าฝันจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย

แดนความฝันยังคงเป็นป่าเล็กๆ ด้านนอกสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย เขาแสดงสีหน้าละอายใจ

เขาชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “ขอโทษด้วย เราไม่ได้ปกป้องบุตรของเจ้าไว้ให้ดี”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าต่างหากที่ควรจะขอโทษท่าน เจ้าลูกคนนี้สมองไม่ปกติ ทำร้ายท่านเข้าแล้ว อย่าได้ถือสาเขาเลย”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าก่อนเอ่ย “เราจะกล่าวโทษเขาได้อย่างไร เขาสร้างคุณูปการต่อวังสวรรค์มากมายแล้ว หากต้องการจากไปจริงๆ เราไม่มีทางขวาง อีกอย่างคนที่ทำร้ายเราอันที่จริงแล้วไม่ใช่เขา ตัวการที่ทำร้ายเราคือพลังของบรรพชนมารที่แฝงอยู่ในร่างเขา ตอนนั้นเขาก็ตื่นตระหนกมากเช่นกัน โทษตัวเองยิ่ง เรามองออก”

เมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่ง

อันที่จริงเขาเคยประสบสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้ว

คนเราเสาะแสวงความก้าวหน้า เขาเคยส่งบุตรแห่งสวรรค์มากมายไปที่สำนักนิกายแห่งอริยะมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบ

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เหตุใดตอนนั้นถึงไม่เรียกหาข้า”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตอบว่า “บรรพชนมารตนนี้ไม่ธรรมดา เก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง เคยอยู่ในยุคเดียวกับผานกู่ ภายหลังกลายเป็นจิตมารบรรพชนเต๋า ถึงแม้จะถูกบรรพชนเต๋าตัดแยกไป แต่เขาและบรรพชนเต๋าได้สร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่สามารถตัดขาดได้ขึ้นมาแล้ว หากบรรพชนเต๋าไม่ตาย เขาก็จะไม่ตายเช่นกัน เราไม่ต้องการให้เจ้าไปมีเรื่องกับตัวตนเช่นนี้”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เลิศล้ำขนาดนี้เชียวหรือ

บรรพชนเต๋าถูกหานเจวี๋ยจัดให้เป็นหนึ่งในสุดยอดบอสใหญ่

จัดการได้ยาก!

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “ติดตามบรรพชนมาร หานทั่วจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมจริงๆ ในเมื่อเขายืนกรานเด็ดเดี่ยว เช่นนั้นก็ให้เขาไปเถิด”

ถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะแฝงความอาดูรอยู่บ้าง แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

“โอ้ ดูเหมือนท่านจะประเมินบรรพชนมารไว้สูงมากนะ” หานเจวี๋ยถาม

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกล่าวว่า “ไม่ผิด หากในสงครามอธรรมและธรรมะหลังบุกเบิกฟ้าดิน บรรพชนมารเป็นฝ่ายชนะ เขาก็จะกลายเป็นบรรพชนเต๋า มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า บรรพชนมารตนนี้มีความทะเยอทะยานอยู่ในใจเสมอมา มิใช่แค่อยากแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขายังปรารถนาความสงบสุขด้วย”

“ก่อนผานกู่จะบุกเบิกฟ้าดิน เทพมารทั้งสามพันตนในฟ้าบุพกาลมิได้เอาแต่ต่อสู้กัน บรรพชนมารผู้นี้คือหนึ่งในตัวตนที่ชิงชังสงคราม จนปัญญาที่ไร้กำลังจะช่วยเหลือตัวเองได้…”

หานเจวี๋ยเงียบไป

ดูเหมือนจะเป็นตัวละครที่มีเรื่องราวน่าเศร้าอีกตนแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับบรรพชนมาร จะมีคนไปจัดการเขาแน่ ส่วนทั่วเอ๋อร์ เรารู้สึกว่าเขามีดวงชะตายิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น อี๋เทียนก็เช่นกัน หลายครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าสิ้นหวัง เด็กสองคนนี้ล้วนพึ่งพาตัวเองเอาตัวรอดมาได้ เท่าที่เราทราบมา ผู้ที่รอดพ้นจากความตายได้ตลอด แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องล้วนเป็นผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่ทั้งสิ้น อีกทั้งเรามีความรู้สึกบางอย่าง วันหน้าทั่วเอ๋อร์และอี๋เทียน จะสะท้านสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าบุพกาล พวกเขาอาจจะไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเลย”

หานเจวี๋ยหัวเราะดังฮ่าๆ ถามไปว่า “เช่นนั้นหรือ”

จู่ๆ เขาก็เข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดหานทั่วถึงรู้สึกคับข้องหมองใจ

ด้านหนึ่งมีจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายคอยกระตุ้นอัดฉีดเขาอย่างบ้าคลั่ง อีกด้านหนึ่งก็มีบิดาอย่างหานเจวี๋ยอยู่…

“ฮ่าๆๆ หากทั่วเอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้นบิดาอย่างเจ้าก็จะพลอยมีหน้ามีตา ใช่แล้ว มิใช่ว่าเจ้ายังมีบุตรชายอีกคนหรือ หากเจ้าไม่อยากดูแล ก็ส่งมาให้เราได้” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเผยสีหน้าคาดหวังออกมา

เขามีความคาดหวังในตัวบุตรชายคนเล็กผู้ลึกลับของหานเจวี๋ยยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำให้หานทั่วได้รับแรงดึงดูดจากสายเลือดได้ แปลว่าอย่างน้อยจะต้องมีคุณสมบัติเหนือกว่าหานทั่ว

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดท่านถึงเอาแต่หมายตาบุตรชายของข้าอยู่ตลอด เด็กคนนั้นคุณสมบัติไม่ได้เรื่อง เทียบกับหานทั่วไม่ติด อีกอย่างมารดาของเขาก็ขลุกอยู่กับเขาทั้งวัน ไม่มีทางหักใจยอมปล่อยเขามา”

“เช่นนั้นหรือ น่าเสียดาย เราคิดว่าคุณสมบัติของเขาต้องใช้ได้แน่ แค่ยังไม่ปรากฏขึ้นมาเท่านั้น”

“วันหน้าหากมีโอกาสค่อยส่งตัวมาให้ท่าน ช่วยท่านขยายฐานอำนาจ!”

“ดูเจ้าพูดเข้าเถอะ ทำเหมือนเรากำลังเอาเปรียบเจ้าอยู่”

“หามิได้ฝ่าบาท จักรพรรดิสวรรค์ใจกว้างไร้ความเห็นแก่ตัว ข้าจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร”

“เจ้าตัวแสบ ลืมไปแล้วว่าในอดีตเจ้าพินอบพิเทาต่อหน้าเรามากเพียงใด ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว จึงไม่ไว้หน้าเราอย่างนั้นหรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”

ทั้งสองเริ่มต่อปากต่อคำกัน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของแต่ละฝ่ายกลับไม่เลือนหายไปเลย

กิ่งก้านของมันเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ใบไม้ร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็สลายเป็นเถ้าปลิดปลิว กลายสภาพเป็นสะเก็ดดาวระยิบระยับทำให้รอบข้างสว่างขึ้น

หานเจวี๋ยทำนายไม่พบตัวตนอื่นใด หรือว่าต้นฝูซังจะต้องการออกไปเอง

มันมีความสามารถขนาดนี้เสียที่ไหน

‘เป็นผู้ใดที่ช่วยต้นฝูซังหลบหนีออกจากเขตเซียนร้อยคีรี’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ผู้สร้างมรรคาอย่างนั้นหรือ

ดำเนินการต่อ!

หัวใจของหานเจวี๋ยจมดิ่งลงไป

[มิติต้นกำเนิด: ต้นฝูซังมีความปรารถนาจะแปลงกายอย่างแรงกล้า เกิดแรงกระตุ้นต่อมิติต้นกำเนิด ด้วยความยินยอมของมัน ต้นฝูซังจึงถูกพามาที่ดินแดนต้นกำเนิดแห่งฟ้าบุพกาล เตรียมพร้อมสละร่างแปรผันสู่สรรพสิ่ง อาศัยผลกุศลมหามรรคเพื่อแปลงกาย]

เมื่อหานเจวี๋ยเห็นข้อมูลนี้ สีหน้าซับซ้อนขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

ในอดีตเมื่อนานมาแล้วต้นฝูซังเคยเอ่ยถึงความต้องการที่จะแปลงกายจริงๆ แต่มันเป็นต้นไม้เทพบรรพกาล มีข้อกำหนดพิเศษ ต่อให้เป็นอริยะมหามรรคอย่างหานเจวี๋ยก็ไม่สามารถช่วยแปลงกายให้มันได้ เขาเคยเสนอให้ต้นฝูซังสละร่างพฤกษาทิ้ง แต่ต้นฝูซังไม่ได้ตอบตกลงในทันที

เดิมทีหานเจวี๋ยอยากสอบถามต้นฝูซัง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามอะไร

อาณาเขตเต๋าในปัจจุบันนี้ไม่ต้องการพลังวิญญาณที่ต้นฝูซังสร้างขึ้นแล้ว ในเมื่อเขาให้ความช่วยเหลือต้นฝูซังไม่ได้ เหตุใดถึงไม่ปล่อยให้ต้นฝูซังไปแสวงหาเส้นทางของตนเล่า

หานเจวี๋ยถอนสายตากลับมา ถอนหายใจคราหนึ่ง

เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจ เพียงสะท้อนใจอยู่บ้าง

หานทั่ว ต้นฝูซัง พวกเต้าจื้อจุนทั้งสาม พวกโจวฝาน ล้วนเริ่มแยกตัวเป็นเอกเทศ คิดแสวงหาวิถีทางในแบบของตนแล้ว

พวกเขาไม่ใช่ผู้อ่อนแอที่ต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากหานเจวี๋ยอีกต่อไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะตั้งความหวังในตัวพวกเจ้า หวังว่าในอนาคตพวกเจ้าจะทำให้ข้าแปลกใจได้ อย่างไรก็ตามพวกเจ้าไม่มีทางก้าวข้ามข้าไปได้”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง แววตาเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง

………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ