เธอหิวจนทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อได้กลิ่นอาหารแล้ว ทำให้เธอหิวมากขึ้นไปอีก
เมื่อเปปเปอร์เห็นท่าทางทรมานของส้มเปรี้ยว สุดท้ายจึงยอมตกลง “ไปเถอะ”
“ค่ะ” ส้มเปรี้ยวยิ้มพร้อมพยักหน้า
เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เธอก็ชะงักลง แล้วหันกลับไปมองปีโป้ที่นั่งอยู่บนโซฟา “ปีโป้ ไปด้วยกันมั้ย”
“ผมไม่ไปกับคุณหรอก” ปีโป้ตอกกลับอย่างเย็นชา
ส้มเปรี้ยวก้มหน้าลงด้วยสายตาหม่นๆ
เปปเปอร์เม้มริมฝีมาก “ถ้านายไม่มาช่วย ก็อย่าหวังเลยว่าคืนนี้จะได้กินข้าว”
พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในครัวพร้อมกับส้มเปรี้ยว
ปีโป้ที่นั่งอยู่บนโซฟาปัดผมเล็กน้อยด้วยความโมโห อยากจะตะโกนออกมาว่าไม่กินแล้ว
แต่ท้องที่กำลังร้องจ๊อกๆ ทำให้เขาเงียบลง
ในที่สุดปีโป้ก็ต้องยอมเดินตามไปห้องครัวอย่างอดไม่ได้
ห้องครัวมีความกว้างขวางโอ่อ่าราวกับสามารถรองรับแขกนับสิบคนได้ อีกทั้งยังเดินเหินขยับซ้ายขวาได้สะดวกจนไม่ต้องกังวลเรื่องชนคนนู้นคนนี้เลย
ตอนที่พวกเปปเปอร์ทั้งสามคนเดินเข้ามา เป็นจังหวะที่เห็นอาหารในหม้อของมายมิ้นท์พอดี
อาหารในหม้อลอยขึ้นมา ก่อนพลิกกลับอีกด้านแล้วตกลงไปในหม้อตามเดิมอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลาเต้ ทามทอยและชาหวานที่ยืนอยู่ด้านข้าง ต่างมองอย่างตะลึง
“เก่งจัง” ชาหวานอุทานออกมา
ทามทอยพยักหน้าตามแล้วเสริมว่า “ระดับเชฟเลยนะเนี่ย”
“ที่รัก...” ลาเต้ขมวดคิ้ว ในใจทั้งดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
เขาดีใจที่อีกสักพักก็จะได้กินอาหารฝีมือคนรักของตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกัน เขารูสึกเจ็บปวดใจที่ที่รักที่เขาคอยทะนุถนอม โดนคนในตระกูลนวบดินทร์กลั่นแกล้ง จนถึงขั้นที่สามารถทำอาหารด้วยเทคนิคยากๆ อย่างการสะบัดกระทะมือเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่รักไม่เคยทำอะไรพวกนี้มาก่อนเลย
เขาคิดและหันไปหน้าไปมองทั้งสามคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสายตาโหดเหี้ยม
เดิมทีทั้งสามคนรวมทั้งเปปเปอร์ต่างพากันมองอาหารในหม้อของมายมิ้นท์ จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงแววตาของลาเต้ จึงดึงสติกลับมา
พวกเขาโดนอาหารในหม้อของมายมิ้นท์ดึงดูดเข้าอย่างจัง
“ไปเถอะ ไปทางนั้นกันเถอะ” เปปเปอร์กระแอมเบาๆ พร้อมดึงสายตากลับมา และชี้ไปยังเตาอีกทาง
ส้มเปรี้ยวคล้องแขนเขาแล้วเดินไปพร้อมกัน
ปีโป้หันไปมองทางมายมิ้นท์ แล้วหันกลับไปมองหน้าพี่ชายตัวเอง ก่อนเดินตามไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ทั้งสามคนเดินมาแล้วหยุดตรงหน้าเตา เห็นอุปกรณ์ทำครัวที่อยู่ตรงหน้า แล้วรู้สึกถึงความลำบากยากเข็ญขึ้นมาทันที
เพราะพวกเขาไม่เคยเข้าครัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคือวัตถุดิบตรงหน้าพวกเขาก็ยิ่งไม่รู้จักเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน
“เปปเปอร์ ทำยังไงเหรอ?” ส้มเปรี้ยวหยิบหม้อขึ้นมาสำรวจ ก่อนเอ่ยปากถามชายหนุ่มข้างๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก
ชายหนุ่มครุ่นคิดชั่วครู่ “จัดการล้างวัตถุดิบก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าอยากกินเมนูอะไร?”
“แต่ว่าวัตถุดิบอยู่ที่ไหนล่ะ?” ส้มเปรี้ยวถามด้วยความงงงวย
ปีโป้หัวเราะเยาะ “ถึงผมจะทำอาหารไม่เป็น แต่ผมก็รู้ว่าพวกวัตถุดิบอยู่ในตู้เย็น”
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินไปทางตู้เย็น
ส้มเปรี้ยวกัดริมฝีปากล่าง ดวงตาเริ่มมีสีแดง “เปปเปอร์ ฉันไร้ประโยชน์มากเลยใช่ไหมคะ ไม่รู้แม้กระทั่งวัตถุดิบอยู่ตรงไหน”
“ไม่หรอก เป็นปกติที่คนไม่เคยเข้าครัวจะไม่รู้เรื่องนี้” เปปเปอร์พูดพลางลูบเส้นผมของเธอ
เมื่อลาเต้ได้ยินดังนั้น จึงกลอกตาแล้วพูดว่า “ปกติที่ไหนกัน นี่เป็นความรู้ทั่วไปเลยนะ? ถ้าไม่มีแม้กระทั่งความรู้พื้นฐานแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ว่าคู่หมั้นของคุณเปปเปอร์เป็นคนไร้ค่าแค่ไหน ยิ่งกว่านั้นคือคุณเปปเปอร์โกหกหน้าตายว่ามันเป็นเรื่องปกติ และดูเหมือนว่าเธอก็ยังเชื่อคำโกหกเหล่านี้ นั่นทำให้เห็นชัดแล้วว่าเธอไม่มีสมอง ที่แยกไม่ออกว่าทั้งหมดเป็นแค่คำปลอบใจ”
“ฮะ ฮะ” ชาหวานและทามทอยอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา
มายมิ้นท์เผยอมุมปากขึ้น
เปปเปอร์มองหน้าลาเต้ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ อีกทั้งแววตายังเยือกเย็น
ฝ่ายส้มเปรี้ยวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ลาเต้ มากเกินไปแล้วนะ”
คาดไม่ถึงว่าจะกล้าด่าทอว่าเธอไร้ค่า ไร้สมอง!
“มากเกินไปตรงไหนเหรอ ผมแค่พูดความจริง แค่คุณรับไม่ได้ก็เท่ากับว่าผมทำเกินไปเหรอ?” ลาเต้ผายมือออกและหัวเราะอย่างสะใจ
หน้าอกของส้มเปรี้ยวกระเพื่อมอย่างแรง
ลาเต้ต้องการจะถากถางเธอต่อ แต่แล้วมายมิ้นท์ดึงเขาไว้พอดี “พอเถอะค่ะลาเต้ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะ เดี๋ยวไปยั่วโมโหแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...