ไป๋ซู่เย่มองเบอร์เลขรวนที่ฉายบนหน้าจอนิ่ง สูดหายใจเข้าลึกรอผ่านไปพักใหญ่ถึงยกขึ้นแนบหู
มีช่วงระยะหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน
เธอไม่ได้พูด
อีกฝ่ายก็เงียบสงัดมีเพียงเสียงหายใจที่หนักอึ้ง
การรักคนคนหนึ่งคงจะเป็นแบบนี้—เขาไม่จำเป็นต้องพูดประโยคไหน แค่จากเสียงหายใจนี้เธอก็สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายก็คือเย่เซียว…
เธอกำโทรศัพท์คอยฟังเสียงหายใจของเขาอย่างหลงใหล รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ บัดนี้ต่อให้แค่ฟังเสียงหายใจของเขาผ่านโทรศัพท์ก็กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
“…ถึงสนามบินหรือยัง?” เงียบไปนาน นานเสียจนไป๋ซู่เย่คิดว่าระหว่างพวกเขาไม่น่าจะมีบทสนทนาเกิดขึ้นแล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก เสียงเหนื่อยอ่อนติดแหบเล็กน้อย เรียกให้คนฟังรู้สึกปวดใจ
“เพิ่งถึงแป๊บหนึ่ง…” เธอพยายามให้เสียงตัวเองคงที่ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เสียง…
สายตามองไกลไปยังลานลงจอดเครื่องบินนอกหน้าต่างบานใหญ่ ในวันฤดูหนาวที่แสนหนาวเหน็บ ภาพทุกอย่างที่เห็นกับตาช่างดูจืดชืด
ดั่งหัวใจของเธอในเวลานี้…
เย่เซียวไม่พูดอีก ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครู่ใหญ่
ไป๋ซู่เย่หายใจเข้าลึก เค้นเสียงออกมา “หัวใจของคุณ…ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
“อืม ไม่เป็นไร”
“…”
“…”
“นายน้อย พิธีใกล้เริ่มแล้ว ท่านจะเปลี่ยนชุดก่อนหรือเปล่าครับ?” อีกทางเสียงนอบน้อมดังลอดมาจากโทรศัพท์
ไป๋ซู่เย่เจ็บใจจนชาวาบ เย่เซียวรับคำสั้นๆ ในลำคอโดยไม่แฝงด้วยอารมณ์ใด สักพักถึงยกโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากเธอก็ชิงพูดก่อน “งั้นคุณทำธุระต่อเถอะ ฉันก็ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว”
ไม่รอเย่เซียวได้พูดอะไรอีกเธอก็ชิงวางสายไปก่อน เธออยากให้ตัวเองเหมือนไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเธอก็คาดหวังกับตัวเองสูงไปสักหน่อย เธอไม่สามารถทำเป็นใจเย็นไม่สนใจได้ขนาดนั้น เธอกลัวว่าถ้าวางสายช้ากว่านี้บางทีเธอจะเผลอพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป…
หลังไป๋ซู่เย่วางสายอย่างรีบร้อนเจ้าตัวแทบนั่งในสภาพตัวอ่อนปวกเปียกบนโซฟา หอบหายใจหนักๆ หลายครั้งถึงจะหายใจได้คล่องเสียหน่อย แต่ใบหน้ากลับขาวซีดปานกระดาษสีขาวอยู่นานโข
ขณะที่เธอยังตั้งสติไม่ได้กลับไม่ทันสังเกตว่าคนในห้องพักกำลังถูกเจ้าหน้าที่สนามบินกว้านออกไปเงียบๆ
เมื่อพนักงานวัยสาวคนหนึ่งเดินเข้าใกล้เธอ เธอถึงเปิดเปลือกตา น้ำใสที่เอ่อคลอถูกเธอกลั้นกลับสู่อย่างเดิมอย่างรวดเร็วที่สุด ถามเสียงเรียบ “มีอะไรเหรอ?”
“คุณคือคุณไป๋เหรอคะ?”
“ค่ะ” ได้ยินอีกฝ่ายบอกนามสกุลตนมา ไป๋ซู่เย่ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นและอดระแวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“คุณไฟต้องการคุยกับคุณ”
ไป๋ซู่เย่เข้าใจทันที คิ้วสวยย่นเข้าหากัน “ไฟเรนเซ่?”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างไม่ปฏิเสธ จากนั้นกดเปิดหน้าจอโทรทัศน์ตรงข้ามไป๋ซู่เย่ตามที่ได้ฝึกฝนมาจนคล่องมือ ภายใต้สถานการณ์ที่เธอยังงุนงงอยู่นั้นอีกคนก็ได้หยิบรีโมทมาเชื่อมอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องแคล่ว
“อืม”
ไฟเรนเซ่พาใครเข้ามากันแน่?
ขณะที่ไป๋ซู่เย่กำลังฉงนกล้องหน้าจอถูกปรับมุมจากนั้นเธอก็เห็นข้างๆ ไฟเรนเซ่มีคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่
เป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูโทรมคนหนึ่ง
มีผ้ามัดปากอย่างแรงให้พูดอะไรไม่ออก สองมือของเธอถูกมัดไขว้หลัง ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงและแทบปิดไปครึ่งใบหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาน่าสงสารที่น้ำตาคลอหน่วย
ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นๆ ตา แต่ก็นึกไม่ออกในทันทีว่าเคยเจอที่ไหน
“คุณไฟ ให้อภัยกับความโง่ของฉันด้วย แต่ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณหมายความว่ายังไง” ไป๋ซู่เย่กล่าวอย่างไม่รีบร้อนและใจเย็นไม่เปลี่ยน
ไฟเรนเซ่ยื่นมือไปข้างๆ พร้อมกับปืนหนึ่งกระบอกในมือเขา
ผู้หญิงที่แต่เดิมคุกเข่าอยู่จู่ๆ ก็ดิ้นรนอย่างแรง ปากส่งเสียงอื้ออึง ดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้าฉายแววตระหนกปนตกใจ
ไป๋ซู่เย่ขมวดคิ้วแน่น เห็นเพียงไฟเรนเซ่เหนี่ยวไกเล็งปลายกระบอกปืนไปตรงหัวของผู้หญิง ปลายกระบอกปืนเสยผมของหญิงวัยกลางคนขึ้นช้าๆ
ทีนี้ก็ได้เห็นใบหน้านี้ชัดเจนเสียที
ไป๋ซู่เย่ลุกพรวดจากเก้าอี้ ตะคอกใส่ “หยุดนะ!คุณจะยิงไม่ได้!”
………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!