ไป๋ซู่เย่ใจสั่นไหวเพราะประโยคแรกของเขา
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเธอจับมือเย่เซียวลง หมุนตัวกลับยิ้มมองเขา “คุณไม่สนใจได้ แต่พ่อบุญธรรมของคุณจะเขม่นฉันเอาได้นะ ฉันกำลังพยายามหาทางเอาใจท่านอยู่ คุณต้องช่วยฉันถึงจะถูก จะเพิ่มปัญหาให้ฉันไม่ได้แล้ว”
เย่เซียวมองเธอด้วยแววตาล้ำลึกก่อนจะพยักหน้าปล่อยมือจากเธอ “ไปเถอะ”
ไป๋ซู่เย่เดินตรงไปยังห้องครัวอย่างไม่รอช้า
“กลับเข้ามามีอะไรหรือเปล่า?” คุณแม่เย่เห็นเธอเดินเข้ามาเลยอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองเธอที ไม่เห็นความผิดปกติจากใบหน้าเธอถึงแอบโล่งอก
“หนูอยากทำกับข้าวให้เย่เซียวสักเมนู แล้วก็เขาบอกว่าพ่อบุญธรรมเขาชอบทานเผือก หนูก็อยากทำด้วย” ไป๋ซู่เย่ยิ้มจางๆ กล่าวอย่างลำบากใจ “คุณป้า ทำเป็นมั้ยคะ? ปกติหนูไม่ค่อยเข้าครัวเท่าไหร่เลยทำกับข้าวได้ไม่มาก”
คุณแม่เย่ได้ยินเธอว่าเช่นนี้ก็ยิ้มหน้าบานทันที รีบพยักหน้ารัว “เป็นสิ พวกนี้ฉันทำได้หมดเลย ถ้าหนูอยากหัดทำฉันจะสอนเอง”
จบประโยคเธอพูดเสริมอีกประโยค “ความจริงนะ เมื่อก่อนตอนที่ฉันยังไม่ได้ทำความรู้จักกับพ่อบุญธรรมเขามากก็ค่อนข้างกลัวเขาอยู่ แต่พอได้ทำความรู้จักเข้าแล้วก็รู้สึกว่าความจริงเขาไม่ได้เย็นชาใจเหี้ยมเหมือนภายนอกของเขา อาจจะอายุมากแล้ว คนเรายิ่งอายุมากก็ยิ่งกลัวความเหงา ฉันเคยผ่านความรู้สึกนี้มาก่อนเลยรู้ดีที่สุด ฉะนั้นหนูอยากกลัวคุณไฟเลยนะ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องยอมตกลงเรื่องของพวกหนูแน่”
ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับ
ความจริงกับไฟเรนเซ่นั้นในความทรงจำเธอนั้นยังคงเหมือนเดิมในอดีต—ใจโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาไร้หัวใจ แต่คุณแม่เย่อาจจะพูดไม่ผิด ตลอดหลายปีเคียงข้างไฟเรนเซ่ไม่มีญาติมิตรที่แท้จริงนอกจากเย่เซียว อาจจะกลัวเหงา โดยเฉพาะวันเวลาผ่านไปจนดำเนินมาถึงช่วงบั้นปลายของชีวิต
ดังนั้นคนเราน่ะ ไม่ว่าภายนอกจะดูเข้มแข็งไม่มีวันล้มขนาดไหน ความจริงก็ต้องมีด้านที่อ่อนแอกันบ้าง
……………………
ในครัวคึกคักพอสมควร
พอไป๋ซู่เย่ทำน้ำซุปไข่มะเขือเทศเสร็จก็เริ่มทำเมนูเนื้อซี่โครงนึ่งเผือก เธอเสียแรงทุ่มเทไปมากเหมือนกัน
พอคนรับใช้ยกจานอาหารเสิร์ฟที่โต๊ะ ไฟเรนเซ่ก็กำลังนั่งหน้าบึ้งเพราะความหิวแล้ว
ขณะที่ไป๋ซู่เย่ยกจานอาหารที่เหลือออกมาจากห้องครัวนั้นไฟเรนเซ่เอ่ยปากค่อนแคะ “ทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ ไม่มีผิด แค่กับข้าวเมนูเดียวยังลำบากขนาดนี้!”
แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณแม่เย่จะเคยปลอบไป๋ซู่เย่มาก่อนแต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่เคยถูกไฟเรนเซ่เอาปืนข่มขู่มาก่อน ฉะนั้นต่อหน้าเขาเธอไม่ได้ทำตัวสบายมากขนาดนั้น
ตรงกันข้ามไป๋ซู่เย่กลับไม่สนใจไฟโทสะของเขา แค่วางเมนูเนื้อซี่โครงเผือกไว้ตรงหน้าเขา “เป็นห่วงว่าฟันของท่านไม่ดีแล้วกัดเนื้อซี่โครงนี้ไม่ไหวเลยนึ่งให้นิ่มหน่อย ถึงใช้เวลาไปเยอะสักนิด”
“น่าขำ!ใครบอกฟันฉันไม่ดี? พูดเหลวไหล!” ไฟเรนเซ่เบิกตากว้างอย่างคุกรุ่น
ไป๋ซู่เย่ชี้ไปทางเย่เซียว สารภาพไปทันที “ลูกชายท่านเป็นคนบอก”
เย่เซียวหมดคำจะพูด เธอต้องจงใจแน่ๆ
วินาทีถัดไปไฟโทสะก็หันเป้ามาทางเขา ไฟเรนเซ่ตีหน้าบึ้งใส่ “แกหาว่าฉันแก่แล้ว ใช่มั้ย?”
“ไม่กล้าครับ”
“ฉันว่าแกกล้าจะตาย!”
เย่เซียวไม่ได้พูดต่อประโยคของพ่อบุญธรรม แค่ดึงมือไป๋ซู่เย่ลงแล้วกล่าว“นั่งลงทานข้าวเถอะ”
ไฟเรนเซ่แค่นเสียงที กวาดตาเย็นชาผ่านทั้งคู่ก่อนถามคนรับใช้ข้างๆ ด้วยใบหน้าเรียบตึง “เธอทำสองเมนูไหน?”
“คุณไฟ เมนูเผือกตรงหน้าท่านกับเมนูมะเขือเทศ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!