“คุณหมายถึงชิงอิ๋ง?” เธอตอบกลับ เพิ่งนึกได้ว่าเสื้อเชิ้ตตัวเองถูกปลดกระดุมและตกอยู่ในสภาพดูไม่จืด ได้แต่รีบหยิบผ้าห่มผืนบางบนรถเขามาปิดตัวเอง ไม่กล้าหันไปมองคนข้างนอกรถแม้แต่แวบเดียว
ดีที่เย่เซียวได้สตาร์ทรถออกไปแล้ว เขาถามเสียงเรียบ “ใช่”
ไป๋ซู่เย่พยักหน้าพลางจัดเสื้อผ้าตัวเองใต้ผ้าห่มแล้วตอบกลับเขาไปด้วย“เราเข้ามาเรียนในวันเดียวกันแล้วก็ถูกแบ่งให้นั่งด้วยกัน เธอค่อนข้างพูดมากแต่ก็เป็นคนน่าสนใจดี เลยสนิทกันเร็ว”
“อืม” เย่เซียวพยักหน้ารับ “ปกติคุยกันทุกเรื่อง?”
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่เพื่อนน่ะ”
เขาไม่ได้ตอบกลับอยู่พักหนึ่ง ขับรถไปตามทางโดยสายตาจดจ่อกับตรงหน้า เขายังคงรู้สึกว่าการมีเธออยู่เคียงข้างนั้นเป็นแค่ความฝัน ทุกอย่างดูไม่สมจริง แต่ความหวงหึงในใจลึกๆ นั่นกลับมีจริง สุดท้ายอดถามไม่ได้ “เมื่อกี้เธอบอกผมว่าคุณมีแฟนแล้ว”
ไป๋ซู่เย่ไม่คิดว่าเขาถามอ้อมขนาดนี้ก็เพื่อคำถามนี้
อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “ฉันล้อเธอเล่น เธออยากแนะนำคนให้ฉันรู้จัก ฉันไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธเลยหาข้ออ้างไปงั้นๆ”
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง
ความจริงเย่เซียวรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอไม่มีทางหาแฟนหนุ่มได้ในเวลาสั้นๆ แต่ก็อยากจะขอคำยืนยันให้มั่นใจอีกที
เขาหันข้างมองเธอ เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเธอแล้วก็เกิดสติหลุด รู้สึกอิ่มเอมใจและสงบสุข
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้เห็นรอยยิ้มของเธออีก จะมีเธออยู่เคียงข้างตัวเอง ต่อให้ไม่พูดอะไรไม่ทำอะไร แค่ได้มองกันและกันแบบนี้…
เมฆครึ้มปกคลุมถูกปัดเป่าออกไป ปรากฏสายรุ้งให้พบเห็น
“คุณขับรถดีๆ อย่ามัวแต่มองฉัน” ไป๋ซู่เย่จับหน้าเขาหันกลับไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่กว้างกว่าเดิม
เย่เซียวถือโอกาสนี้กุมมือเธอไว้ในฝ่ามือ เธอไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เขากุมแน่นกว่าเดิม
“เราจะไปไหนกัน?”
“ไปที่บ้านผมแล้วกัน พ่อบุญธรรมกับแม่ผมอยากให้ผมพาคุณกลับไปทานข้าว”
“พวกท่านรู้ว่าฉันมาเมืองเยียวแล้วเหรอ?”
“หยูอันเป็นคนบอก”
“แต่สภาพของฉันตอนนี้…” ไป๋ซู่เย่นึกถึงสภาพทรุดโทรมของตัวเอง “หรือว่าคุณส่งฉันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวก่อน”
“ไม่ต้อง” เย่เซียวกระชับมือเธอแน่นแล้วแน่นอีก “แบบนี้ก็ดีมากแล้ว”
“บอกผมได้มั้ยว่าเรื่องเป็นยังไง?” เย่เซียวพูดถึงนี่แล้วเว้นช่วง คล้ายกำลังผ่อนคลายความเจ็บที่หัวใจ พักใหญ่ถึงพูดต่อ “ผมไปประเทศ S เห็นอันนั้นของคุณเองกับตา…”
สุดท้ายก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำว่า‘ป้ายสุสาน’ออกจากปากได้ ความเจ็บปวดที่สิ้นหวังนั่นมีเพียงคนที่เคยลิ้มรสเท่านั้นถึงจะรู้
“พ่อแม่ฉันแล้วก็เย่ฉิงอยากให้ฉันหลุดพ้นจากกระทรวงความมั่นคง หลุดพ้นจากชีวิตที่อันตรายอย่างในอดีตโดยสิ้นเชิง คุณรู้ว่าฉันทำงานอยู่กระทรวงความมั่นคงมาหลายปี เคยกวาดล้างกลุ่มอาชญากรอันตรายมามาก ตอนนี้ถ้าลาออกจากกระทรวงความมั่นคงเท่ากับว่าเสียเกราะหุ้มไปหนึ่งชั้น อาจจะถูกคนแก้แค้น พวกเขาไม่อยากให้ฉันได้รับอันตรายอะไรอีก เลยคิดแผนนี้ขึ้นมา”
นี่เป็นวิธีที่จะหลอกผู้อื่นได้ แต่ทางที่ดีคงไม่มีใครกล้ามีความคิดที่จะทำร้ายเธอ!
เย่เซียวหยักหน้า นึกโชคดีในใจว่าทุกอย่างเป็นแค่ฉากบังหน้า
เขาลูบจับนิ้วเรียวยาวของเธอแล้วถาม “ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไม…ไม่มาหาผมเลย?”
ท้ายประโยคน้ำเสียงของเขาหม่นลงเล็กน้อย
เขาควรโชคดีใช่ไหมที่หยูอันไปพบเธอทันเวลา? หากสายอีกไม่กี่วัน บางที…
บางทีพวกเขาอาจต้องพลัดพรากอีกครั้งเพราะความตาย
“ฉันไข้สูงไม่ลด นอนไปสิบกว่าวันถึงฟื้นได้สติ รอตื่นมาอยากโทรหาคุณ แต่…” พูดถึงนี่เธอก็หยุดชะงัก “แม่ฉันจับตาดูฉันอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ท่าน…ไม่อนุญาตให้ฉันติดต่อคุณ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!