เฟิงเชียนเสวี่ยก้มหน้าลงด้วยความประหม่า และไม่กล้าหายใจออกมาแรงๆ
เธอไม่กล้าพูดว่าเธอถูกเฮ่อเหวินเจ๋อรับเข้ามาเป็นพิเศษ และเฮ่อเหวินเจ๋อคนนั้นก็เคยเป็นลูกน้องของพ่อเธอ และที่เขารับเธอเข้ามานั้นเป็นเพราะวางแผนชั่วๆ ไว้
“ผมเป็นคนรับเธอเข้ามาเอง” เยี่ยเจิ้นถิงพูดขึ้นเสียงเรียบ
“แกหุบปากไปซะ!” คุณท่านเยี่ยจ้องไปที่เขาเขม็ง พร้อมกับไฟความโกรธที่ลุกโชน
“OK!” เยี่ยเจิ้นถิงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่เอื้อมมือออกไปดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง และทำสัญญาณให้เฟิงเชียนเสวี่ยมานั่งที่นี่
เฟิงเชียนเสวี่ยเหลือไปมองเขาและไม่กล้านั่งลง
หลิงหลงเห็นว่าเยี่ยเจิ้นถิงปกป้องเฟิงเชียนเสวี่ย เธอก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“นั่งลง” คุณท่านเยี่ยพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
หลังจากนั้นเฟิงเชียนเสวี่ยถึงจะนั่งลง แต่ก็ก้มหน้าอยู่ตลอดและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
คนรับใช้ถืออุปกรณ์ทานอาหารและอาหารเช้าชุดใหม่เข้ามา เฟิงเชียนเสวี่ยพูดขึ้นเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวฉันก็ออกไปแล้ว”
“ฉันอนุญาตให้เธอไปหรือยัง” คุณท่านเยี่ยพูดอย่างห่างเหินและหยิ่งยโส
เฟิงเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยความตะลึงเล็กน้อย
“คนทุกคนควรจะรู้สถานะของตัวเองเป็นอย่างดี” คุณท่านเยี่ยหยิบขนมปังบนโต๊ะขึ้นมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็โยนไปด้านหน้าของเฟิงเชียนเสวี่ย “ก็เหมือนกับขนมปังแผ่นนี้ มันเป็นได้แค่อาหารเรียกน้ำย่อยให้คนได้รองท้อง แต่ไม่มีวันได้เป็นอาหารหลัก!”
“คุณปู่พูดดีมากเลยค่ะ” หลิงหลงยิ้มออกมาและมองไปที่เฟิงเชียนเสวี่ยอย่างยั่วยุ “แน่นอนสิคะ ถ้าอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก้ปัญหาเรื่องคนในสลัมไม่ได้ ขนมปังก็เป็นอาหารหลักไม่ได้เหมือนกัน”
เยี่ยเจิ้นถิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เฟิงเชียนเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ และในที่สุดเธอก็เงยหน้าไปมองหลิงหลง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้น “คุณหลิงคิดว่าตัวเองเป็นอะไรหรือคะ อาหารหลักในโต๊ะอาหารของเศรษฐี? ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นสเต๊กที่ถูกหั่นไม่ใช่หรือคะ”
“คุณ...” หลิงหลงพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“คุณปู่ท่านนี้คะ” เฟิงเชียนเสวี่ยหันหน้าไปทางคุณท่านเยี่ย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต้อยต่ำ...
“จริงๆ แล้วขนมปังไม่ได้อยากอยู่บนโต๊ะอาหารในบ้านท่าน มันอยู่เงียบๆ ในที่ของมัน มีคนหลายคนที่ชอบมันและคอยทะนุถนอมมัน แต่ก็มีคนที่ใช้อำนาจบีบบังคับให้มันมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยอยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกว่าท่านไม่ควรโทษขนมปังชิ้นนี้ ถ้าจะโทษก็ควรจะไปโทษคนที่ใช้อำนาจบีบบังคับและตามรังควานแทน”
เยี่ยเจิ้นถิงหรี่ตาลงอย่างอันตรายและหันไปจ้องเฟิงเชียนเสวี่ยตาเขม็ง
“ใจกล้ามากนะ!” คุณท่านเยี่ยตะโกนขึ้นด้วยความโมโห “เธอจะบอกว่าเยี่ยเจิ้นถิงใช้กำลังบังคับเธอ รังควานเธอ?”
“หน้าด้านจริงๆ!”
สุดท้ายหลิงหลงก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เธอรับไม่ได้จริงๆ ว่าผู้ชายที่เธอกำลังไล่ตามอยู่นั้นกำลังถูกผู้หญิงอีกคนหนึ่งบอกว่าถูกเขาตามรังควาน
“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยเขาไป” เฟิงเชียนเสวี่ยถือโอกาสนี้แสดงเจตจำนงของตัวเองออกไป “ถ้าท่านไม่ชอบฉัน ท่านสามารถบอกเขาให้ไม่ต้องมาหาฉันอีกได้”
เธอทนกับหลิงหลงคนนี้มามากพอแล้ว กลั่นแกล้งเธอ เหยียดหยามเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนนี้ยังมีคุณท่านเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เธอไม่รู้เลยว่าจะถูกกลั่นแกล้งไปถึงเมื่อไหร่...
ดังนั้น เปิดเผยตัวตน
แสดงเจตจำนงของตัวเองออกไป ถ้าหลังจากนี้เยี่ยเจิ้นถิงยังไปรังควานเธออีกก็ไม่ใช่เรื่องของเธอแล้ว
“แกได้ยินหรือยัง” คุณท่านเยี่ยจ้องเยี่ยเจิ้นถิงตาเขม็ง
“อืม” เยี่ยเจิ้นถิงพยักหน้า เขายกแก้วไวน์ขึ้นและดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมใช้กำลังบีบบังคับ รังควานและควบคุมเธอจริงๆ!”
เขาพูดสามคำนี้ต่อกันแบบมีจังหวะ ถึงขั้นทำให้นึกภาพออก
สิ่งที่เขาพูดออกมาทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึง
เฟิงเชียนเสวี่ยเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงและมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับว่าตัวเองไปรังควานเธอต่อหน้าคุณปู่ของเขา หลิงหลง รวมไปถึงเหล่าลูกน้องมากมาย
เขาไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเองแล้วหรือ
หลิงหลงนิ่งค้างไป เธอก็กำลังสงสัยหูของตัวเองอยู่เช่นกัน
“แก...” สีหน้าของคุณท่านเยี่ยก็เปลี่ยนไปไม่สู้ดีนัก เขากดไปที่หัวใจและชี้ไปที่เยี่ยเจิ้นถิงอย่างเดือดดาล “แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองพูดอะไรออกมา”
“คุณปู่ระงับความโกรธก่อน” เยี่ยเจิ้นถิงเอนหลังพิงเก้าอี้ มองไปที่คุณท่านเยี่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ชายหนุ่มอะนะ อยู่ด้านนอกจะมีคนรักเจ็ดแปดคนก็ไม่แปลกอะไร แค่แต่งงานกับคนที่ปู่พอใจก็พอแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สามหนูน้อยอัจฉริยะ:มาเฟียคลั่งรัก