สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 1073

บทที่ 1073 ตัวแทนของสามัญชน

บทที่ 1073 ตัวแทนของสามัญชน

สำนักศึกษาหลวงแบ่งออกเป็นระดับชั้นต่าง ๆ มากมาย

ถึงแม้เงื่อนไขการรับสมัครจะเข้มงวด แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีหลายสกุลที่สนิทชิดเชื้อกัน นั่นทำให้ความหลากหลายในสำนักศึกษาหลวงลดน้อยลง

แน่นอนว่าสำหรับบัณฑิตสามัญชน สำนักศึกษาหลวงถือเป็นหนทางสำคัญในการพลิกผลันโชคชะตาของพวกเขาจึงหวงแหนโอกาสที่ได้มาเรียนที่นี่เป็นอย่างยิ่ง

สกุลใหญ่ในเมืองหลวงนั้นมีความซับซ้อน ในบรรดาบัณฑิตสกุลสูงศักดิ์ทั้งหลายมีผู้ที่เข้าถึงได้ง่ายเหมือนลู่จื่อชิง และยังมีอีกหลายคนที่มักกลั่นแกล้งรังแกผู้อ่อนแอเสมอ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์นี้ สำนักศึกษาหลวงจึงได้ประกาศใช้นโยบายใหม่ตั้งแต่ปีที่แล้ว นั่นคือสกุลสูงศักดิ์อยู่ในชั้นเรียนหนึ่ง สามัญชนอยู่ในอีกชั้นเรียนหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมมีชั้นเรียนหัวกะทิสำหรับสกุลสูงศักดิ์ สามัญชนก็มีเช่นกัน คนเหล่านี้เกือบทั้งหมดล้วนเป็นตัวเก็งในการสอบขุนนาง

ลู่จื่อชิงเป็นสตรี ไม่จำเป็นต้องสอบขุนนาง นางอยู่ในชั้นเรียนหัวกะทิสำหรับสตรี

ขณะที่ซ่งหานจือเป็นโอรสคนโปรดของสวรรค์และเป็นตัวเก็งที่สำนักศึกษาหลวงได้ฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงอยู่ในชั้นเรียนหัวกะทิของสกุลสูงศักดิ์

ถึงแม้การแบ่งชั้นเรียนเช่นนี้จะไม่เหมาะสมนัก ทว่าก็เป็นเรื่องที่บัณฑิตสามัญชนพอใจกับมัน อย่างไรเสียหากพวกเขาต้องอยู่ในชั้นเรียนเดียวกันกับสกุลสูงศักดิ์ตลอดทั้งวันก็มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาต่อสภาพจิตใจ

หลังจากจูเฉินปรากฏตัว ชั้นเรียนหัวกะทิของสามัญชนก็ปรากฏเลือดใหม่ขึ้น ทุกเดือนจะมีการสอบ และการสอบนั้นก็เป็นการสอบจัดอันดับ การจัดอันดับนี้ไม่ได้แบ่งตามเลขชั้นเรียน แต่ขึ้นอยู่กับคะแนนสอบที่ได้ทั้งหมด

“จูเฉินผู้นี้เป็นใครกัน?” หยางเจียเสวียบุตรชายรองเสนาบดีกรมพระคลังชี้ไปที่รายชื่อ “ก่อนหน้าไยไม่เคยได้ยิน?”

“คนมาใหม่กระมัง!”

“นึกไม่ถึงว่าคนมาใหม่จะติดสิบอันดับแรกได้จริง ๆ”

“อันดับหนึ่งคือผู้ใด?”

“ซือหม่าจี้อิง”

ทุกคนหันไปมองซือหม่าจี้อิงที่เดินผ่านมา

ซือหม่าจี้อิงไม่ได้สนใจว่าตนจะทำข้อสอบได้ดีเพียงใด ในมือเขาประคองกระถางใบหนึ่งไว้ ในนั้นปลูกกล้วยไม้ เขาดูแลกล้วยไม้อย่างระมัดระวัง ราวกับว่านั่นเป็นความกังวลหลักของเขา

ลู่จื่อชิงแทรกตัวเข้ามาพลางเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร?”

“ลู่รอง เจ้าสนใจซือหม่าจี้อิงหรือซ่งหานจือ?” มีคนกล่าวล้อขึ้นมา

“ข้าสนใจทั้งสองคนไม่ได้หรือ?” ลู่จื่อชิงกล่าว “พี่ใหญ่ซือหม่าเก่งจริง ๆ ได้อันดับหนึ่งอีกแล้ว”

ซ่งหานจือที่ยืนอยู่ข้างหลังนางกล่าวโอดครวญ “พี่ใหญ่ซือหม่าร้ายกาจจริง ๆ”

ซือหม่าจี้อิงเกิดในสกุลบัณฑิต เขาเริ่มอ่านตำราตั้งแต่อายุสามขวบ อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงตำราพันอักษรหรือคัมภีร์ตรีอักษร แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ทำความสะอาดในจวนยังรู้หนังสือ แน่นอนว่าเขาย่อมวิ่งได้เร็วกว่าผู้อื่น เรียกได้ว่ามีตำราอยู่ในสมองมากกว่าหอตำราในสำนักศึกษาหลวงเสียอีก ซือหม่าจี้อิงไม่ต่างจากย่ามใส่ตำราเดินได้

คราวนี้ตำแหน่งจ้วงหยวนเกรงว่าจะอยู่ในมือของเขาแล้ว

“เจ้าก็เก่งมากเช่นกัน อันดับที่สอง” ลู่จื่อชิงกล่าว “อีกประเดี๋ยวพวกเราทานของอร่อย ๆ ฉลองกันดีหรือไม่?”

“ต้องเรียกพี่ใหญ่ซือหม่าหรือไม่?” ซ่งหานจือเอ่ยถาม

คนรอบข้างสับสนเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ลู่จื่อชิงกับซือหม่าจี้อิงตัวติดกันตลอด แต่กับซ่งหานจือยังบาดหมาง ทว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาลู่จื่อชิงกับซ่งหานจือกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง ซือหม่าจี้อิงผู้นั้นมาจากที่ใดจึงต้องกลับไปที่นั่น ซ่อนเร้นความสำเร็จและชื่อเสียง

“นั่นไงจูเฉิน” มีคนเอ่ยขึ้น “ยังเด็กเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะติดสิบอันดับแรกได้”

ลู่จื่อชิงกำลังจะตะโกนเรียกจูเฉิน ทว่าถูกซ่งหานจือจูงมือจากไปก่อน

“มีอะไรหรือ?”

“เจ้าลืมที่ท่านน้าเล็กพูดไปแล้วหรือ?” ซ่งหานจือกล่าวว่า “เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ความสัมพันธ์ของเขากับจวนลู่ เจ้าก็เห็นเขาอยู่ในชั้นเรียนสามัญชน แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการพึ่งพากำลังของตนสอบขุนนางให้ได้รับชื่อเสียงลาภยศ”

“รู้แล้วน่า”

ณ ร้านค้าสกุลสิง สิงเจียซือมองตัวเลขบนคำสั่งซื้อแล้วเอ่ยถามหงซู่ “เจ้าเขียนตัวเลขผิดหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย