สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 299

บทที่ 299 สาวกไร้สมองของลู่เซวียน

บทที่ 299 สาวกไร้สมองของลู่เซวียน

ลู่เซวียนสั่งเกี๊ยวน้ำมาหนึ่งถ้วย เขาเห็นฉู่หนิงจูถือมันเอาไว้ในมือ เอาแต่จ้องมองมัน จึงถามขึ้นว่า “ไม่ชอบหรือ?”

“ไม่ใช่ นี่คืออะไรหรือ?” ฉู่หนิงจูมองมาด้วยความสงสัย

ลู่เซวียน “…”

เอาเถอะ บุตรสาวตระกูลผู้ดีอาจไม่เคยเห็นอาหารที่เรียบง่ายเช่นนี้

“มันเรียกว่าเกี๊ยวน้ำ” ลู่เซวียนบอก “ลองชิมดูสิ”

ฉู่หนิงจูเป่ามันแล้วชิมดูหนึ่งคำ

“ฮู่…” ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ราวกับดวงตาของกระต่าย

หลังจากกลืนอาหารลงไปแล้ว นางก็เคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติ “อร่อยจริง ๆ ข้าไม่เคยทานมาก่อนเลย”

“เช่นนั้นทานให้มากหน่อย” แววตาของลู่เซวียนฉายรอยยิ้มออกมา

“อาหารพื้นบ้านไม่มีชั้นเชิงใด ๆ แต่ก็อร่อยจริง ๆ เรียบง่าย ราคาถูก ทั้งยังอิ่มท้อง” ฉู่หนิงจูกล่าว “ชีวิตแบบนี้นี่ดีจริง ๆ”

“เป็นเพราะเจ้าได้ทานอาหารอร่อย ได้ทานรังนกก้างปลามามากแล้ว จึงอยากจะลองทานข้าวต้มกุ๊ยกับผัก หากเจ้าได้ลองใช้ชีวิตที่ได้กินแต่ข้าวต้มกุ๊ยกับผัก เจ้าจึงจะได้รับรู้ถึงความลำบากของคนยากคนจนที่แท้จริง” ลู่เซวียนทานเข้าไปหนึ่งคำ

“ข้าไม่เชื่อ” ฉู่หนิงจูพึมพำ “ชีวิตเช่นนี้มีอะไรไม่ดีกัน?”

“สองปีก่อน ครอบครัวของพวกเราไม่มีอะไรเลย แม้แต่อาหารยังมีไม่พออิ่มท้อง กล่าวได้ว่าพวกเราได้ทานแต่ผักป่า ข้ามีร่างกายไม่แข็งแรง เงินส่วนใหญ่ที่พี่ชายของข้าหามาล้วนใช้ไปกับการรักษาอาการป่วยของข้า หลานทั้งสองคนของข้าอด ๆ อยาก ๆ อีกทั้งพี่สะใภ้ของข้า… ตอนนั้นไม่ได้ดีถึงเพียงนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการนอนบนพื้นไม้ในฤดูหนาวและมีเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ ห่อหุ้มร่างกายเป็นอย่างไร?”

ฉู่หนิงจูมองลู่เซวียนด้วยความอึ้ง

ลู่เซวียนเห็นสีหน้าของนาง ก็พลันหัวเราะสมเพชตัวเองขึ้นมา “เหตุใดข้าต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้านะ บุตรสาวตระกูลผู้ดีที่ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กอย่างเจ้าคงนึกภาพเหล่านี้ไม่ออก”

“ลู่เซวียน เจ้าดีถึงเพียงนี้ ต่อไปจะต้องดีขึ้นยิ่งกว่านี้แน่นอน”

“รีบกินเร็วเข้า หากเย็นแล้วจะไม่อร่อย” ลู่เซวียนเปลี่ยนเรื่อง

“ข้าจริงจังนะ เจ้ามีสติปัญญาล้ำเลิศ จะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน” ฉู่หนิงจูมองลู่เซวียนด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเชื่อสายตาของข้าสิ นี่เป็นครั้งแรกเชียวนะที่ข้าชื่นชมคนผู้หนึ่งมากมายถึงเพียงนี้”

“เจ้าชอบ ‘คันฉ่องสองด้าน’ มากกว่ากระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดตอนแรกข้าจึงเขียนหนังสือ เป็นเพราะข้าร่างกายอ่อนแอ ออกไปข้างนอกไม่ได้ พี่สะใภ้ของข้ากังวลว่าข้าจะโศกเศร้าหดหู่เกินไป นางจึงให้ข้าลองเขียนบทละครพื้นบ้าน ‘คันฉ่องสองด้าน’ ดู เรื่องเล่านี้เดิมทีก็เป็นพี่สะใภ้ของข้าบรรยายออกมา ข้าเพียงนำมาปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายข้าจึงเขียนออกมาได้เช่นนี้ อันที่จริงคนที่เจ้าชื่นชมควรเป็นพี่สะใภ้ข้า ไม่ใช่ข้า”

“ไม่ใช่นะ” ฉู่หนิงจูส่ายหน้า “ไม่ใช่สักหน่อย สิ่งที่ข้าอ่านไม่ใช่เพราะเค้าโครงเรื่อง แต่เป็นคำพูดของเจ้า”

ลู่เซวียนจ้องมองฉู่หนิงจู

แววตาของฉู่หนิงจูเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน

“บางทีเจ้าอาจไม่ตระหนักว่า เรื่องของเจ้าไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้แค้นของสองพี่น้อง ทว่ายังเกี่ยวข้องกับความผิดชอบชั่วดีอีกมากมาย ข้าอ่านเรื่องที่เจ้าเขียนจึงได้เข้าใจความจริงหลายอย่างอย่างถ่องแท้”

ลู่เซวียนยิ้มบาง ๆ ไม่ถือเป็นจริงจัง

“จริง ๆ นะ” เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อ ฉู่หนิงจูก็อธิบายต่อ “เรื่องของเจ้าทำให้เห็นว่าประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบเช่นไร ทางการตัดสินโทษลวก ๆ เพียงใด ยังมีคนยากจนต้องขายลูกชายลูกสาวมากมายเพียงใดในปีที่เกิดมหันตภัยร้ายแรง ถึงแม้จะเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำที่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ ทว่าข้าจำได้ดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าครั้งแรกข้าเห็นหนังสือของเจ้าได้อย่างไร? ข้ากำลังหาน้องชายของข้า ก็เลยไปพบหนังสือในห้องของเขา”

“หนังสือของข้าคงไม่ได้แพร่หลายไปทั่วขนาดนั้นกระมัง”

ปกติแล้วขายอยู่เฉพาะในเมืองฮู่เป่ยและเมืองซูโจว หากกล่าวว่าขายอยู่ในเมืองหลวงเขาคงไม่เชื่อ เมืองหลวงอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากที่นี่เป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าบางทีอาจมีพ่อค้าผ่านมาแล้วซื้อกลับไปยังเมืองหลวงสองสามเล่ม

“อย่างไรเสียในสายตาของข้า เรื่องที่เจ้าเขียนก็ดีที่สุด” ฉู่หนิงจูกินเกี๊ยวน้ำแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ข้าไม่ยอมรับการปฏิเสธ”

ลู่เซวียน “…”

พี่สะใภ้เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าอย่างไรแล้วนะ?

สาวกไร้สมองงั้นหรือ?

ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าคนผู้หนึ่งนั้นอยู่ดี ๆ จะไปเป็นสาวกใครได้อย่างไร แต่คำว่า ‘ไร้สมอง’ นี้ไม่เข้ากับแม่นางน้อยคนนี้แม้แต่น้อย

โถ ๆ อายุน้อยเท่านี้ เหตุใดจึงจะสิ้นคิดเสียแล้วเล่า?

“เจ้าควรดีใจที่ครอบครัวของพวกเราไม่ใช่คนไม่ดี”

แม้แม่นางซื่อบื้อผู้นี้จะมีอาวุธลับทุกชนิด แต่กลับโดนหลอกได้อย่างง่ายดาย

“อืม ใช่แล้ว พวกท่านเป็นคนดี” ฉู่หนิงจูหัวเราะจนเผยลักยิ้มน้อย ๆ ออกมา

หลังจากทานเกี๊ยวน้ำเสร็จแล้ว ลู่เซวียนก็ลุกขึ้นไปจ่ายเงิน เมื่อเขาหันกลับมาอีกที นางก็หายไปเสียแล้ว

เขามองไปรอบ ๆ เห็นฉู่หนิงจูนั่งอยู่กับพื้น กำลังลูบหัวแมวอยู่มุมถนน

ฉู่หนิงจูอุ้มลูกแมวมอมแมมตัวนั้นขึ้นมา เงยหน้าแล้วเอ่ยกับลู่เซวียนว่า “ลู่เซวียน มันน่าสงสารมากเลย ดูเหมือนมันจะไม่ได้กินอะไรนานแล้ว”

ลู่เซวียนถามกลับ “แล้ว?”

“พวกเราพามันกลับไปด้วยเถอะ ข้าเห็นว่าพี่ซืออวี่มีสุนัขตัวหนึ่ง นางคงชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ มากเช่นกัน พวกเราเลี้ยงมันเถอะนะ” ฉู่หนิงจูทำหน้าอ้อนเป็นการร้องขอ

ลู่เซวียนส่ายหัวเบา ๆ “ไม่ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย