สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 37

บทที่ 37 ศิษย์อันเป็นที่รัก

บทที่ 37 ศิษย์อันเป็นที่รัก

ที่หน้าประตูร้านอาหารอันดับหนึ่ง ฟางโจวอวี่ในชุดเสื้อผ้าราคาแพงกำลังยืนรอต้อนรับแขก คนที่มาอวยพรเขาก่อนล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาระดับตำบลกันทั้งสิ้น

ข้าง ๆ ฟางโจวอวี่มีเพื่อนร่วมรุ่นปีเดียวกันอีกสองคน ทั้งสามล้วนเป็นเพื่อนกันมาก่อนหน้านี้

เดิมทีฐานะทางการเงินที่บ้านของพวกเขานั้นยากจน ทว่าตอนนี้กลับแต่งกายสวนทางกันกับสถานะทางการเงิน ทั้งสามยืดอกขึ้นตรง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง ราวกับว่าในวันนี้ไม่ได้มีเพียงฟางโจวอวี่เท่านั้นที่สามารถสอบเลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิตได้ แต่ยังมีพวกเขาอีกด้วย

“ลู่อี้จะมาได้จริงหรือ?” เฉียนจงอวิ๋น ชายร่างผอมสูงโบกพัดด้วยท่วงท่าสง่างาม

“มาได้สิ” ฟางโจวอวี่เผยสีหน้าเหยียดหยาม “วันนี้ข้ากลายเป็นบัณฑิต แต่เขากลายเป็นนายพรานอัปลักษณ์ แล้วจะไม่มาประจบสอพลอได้อย่างไร”

“ท่านเจ้าสำนักมาแล้ว” ถังหมิงฉงลดเสียงประกาศลง ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วทักทายเจ้าสำนักไป๋เหวยคังแห่งสำนักบัณทิตเขาเขียว “ท่านเจ้าสำนัก เชิญด้านนี้ขอรับ”

ไป๋เหวยคังมองฟางโจวอวี่ด้วยความเอ็นดู “วันนี้เป็นวันแห่งความปีติยินดีของเจ้า นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคนแก่อย่างข้า หวังว่ามันจะมีประโยชน์กับเจ้า”

ขณะที่ไป๋เหวยคังพูด ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังก็หยิบกล่องมาให้หนึ่งใบ เมื่อเปิดกล่องออกมาดู ฟางโจวอวี่ก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นขนหมาป่าอันเลอค่า

“ท่านอุตส่าห์นำมามอบให้ ข้าจะรักษาหวงแหนเป็นอย่างดี จะใช้อย่างดีเชียวขอรับ” ฟางโจวอวี่ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับของขวัญชิ้นใหญ่

“ฮ่าฮ่า” นายอำเภอฉินเดินหัวเราะร่าเข้ามา “นี่เจ้าหน้าที่ราชการมาสายหรือ?”

“เจ้าหน้าที่ฉิน” ทุกคนเข้ามาทำความเคารพอีกครั้ง

วันนี้ร้านอาหารอันดับหนึ่งตั้งใจบอกปัดลูกค้ารายอื่น เพื่อที่ว่าวันนี้จะได้รับรายการอาหารจากฟางโจวอวี่เท่านั้น

เจ้าของร้านให้บริการแขกผู้มีเกียรติด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หากร้านอาหารต้อนรับผู้ที่สามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตได้ ก็จะถูกบอกเล่ากันปากต่อปาก ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจการค้าของพวกเขา อย่างไรแล้วหลายคนก็อยากได้รับผลประโยชน์จากบรรยากาศอันชื่นมื่นของผู้สูงศักดิ์

“ที่ข้ามีวันนี้ได้ ต้องขอบพระคุณท่านเจ้าสำนักและนักปราชญ์ทุกท่านเป็นอย่างสูงที่คอยโอบอุ้มให้เจริญก้าวหน้า หลังจากนี้ข้าก็จะได้ร่ำเรียนเหมือนพวกท่านแล้ว ข้าตั้งมั่นว่าจะอบรมสั่งสอนผู้เรียนให้มากขึ้นด้วยขอรับ” ฟางโจวอวี่โค้งคำนับต่อหน้าทุกคน

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเล่าเรียนเข้า” อาจารย์เฉียนลูบหนวดเคราสั้น ๆ ของตนพลางหัวเราะออกมา

“ขอรับ ศิษย์มิกล้าลืม”

เจ้าของร้านเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “แขกมากันครบแล้วหรือไม่ หากว่ามาครบแล้ว ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารมา”

เฟิงเจิงที่อยู่ไม่ไกลมองมาแล้วยกยิ้มมุมปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

ในฐานะที่เขาเคารพลู่อี้ เขาย่อมเข้าใจคนหน้าซื่อใจคดอย่างฟางโจวอวี่

“รออีกสักครู่เถอะ” ฟางโจวอวี่เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าลังเล

นายอำเภอฉินจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หรือว่ายังมีแขกอีกรึ?”

“เมื่อวานที่มาจองโต๊ะ บังเอิญเจอกับท่านพี่ลู่อี้ที่นำของป่าจากภูเขามาขาย ข้าจึงตั้งใจเชิญเขามาร่วมงาน น่าจะใกล้มาถึงแล้วขอรับ” ฟางโจวอวี่ตอบอย่างสุภาพ

“ลู่อี้ หรือว่าจะเป็นลู่จืออี้ คนที่เขียนบทกลอนการขุดลอกคูคลองเมื่อตอนอายุสิบสี่” นายอำเภอฉินขมวดคิ้ว “เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เจ้าหน้าที่ราชการได้พบเขา เขาจิตใจดีเป็นเลิศตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อพบเจอเจ้าหน้าที่ราชการก็ไม่แสดงความหวาดกลัวให้เห็น และทักษะการประพันธ์ของเขายังล้ำเลิศเหลือเกิน”

ทว่าสีหน้าของเจ้าสำนักและเหล่านักปราชญ์ต่างไม่สู้ดี

สำหรับพวกเขาแล้ว ลู่อี้เป็นความเจ็บปวดลึก ๆ ที่อยู่ในหัวใจ หลายปีมานี้ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขานึกถึงคนคนนี้ขึ้นมาก็รู้สึกผิดหวังจนแทบจะอยากรับความเจ็บปวดนั้นแทนเขา อยากให้เขาได้กลับไปอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ก็ทำได้เพียงมองดูเขาใช้ชีวิตเยี่ยงชาวบ้านต่อไป

“เขายอมมาหรือ?” ไป๋เหวยคังถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ฟางโจวอวี่ยังคงยิ้มแย้ม แต่ในแววตากลับไม่ยิ้ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย