ศึกเดือด มหากาฬ นิยาย บท 73

สิ่งที่ฉินปิงหลันพูดนั้นไม่ผิด

เนื่องจากสาเหตุของเธอก่อนหน้านี้ได้ทำให้โต๋วโต๋วมักถูกโรงเรียนบีบให้ออกอีกทั้งเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ยังมีอารมณ์ร้อน หากมีใครก็ตามที่มาพูดถึงฉินปิงหลันในทางที่ไม่ดีล่ะก็หล่อนก็จะทุบตีคนเหล่านั้น มีชีวิตอยู่เป็นมารในร่างคนซึ่งนั่นส่งผลให้หล่อนมักโดนไล่ออกจากโรงเรียนสองถึงสามครั้งต่อปีเลยทีเดียว

จนตอนนี้ฉินปิงหลันก็กำลังเตรียมหาโรงเรียนให้กับโต๋วโต๋วอยู่ เพียงแต่ปัญหาที่หนักหนาเลยก็คือ–

ขาดแคลนเงิน

เธอเป็นประธานซึ่งจะได้ระบบเงินเดือนประจำปีเช่นเดียวกับเงินปันผล

แน่นอนว่าสามาถเบิกเงินล่วงหน้าได้แต่เธอไม่กล้าที่จะทำขนาดนั้นเพราะเธอกลัวว่ามันจะทำให้คุณย่าฉินไม่พอใจ พอถึงตอนนั้นก็คงจะต้องระหกระเหินไปต่างที่อีก ดังนั้นเธอจึงครุ่นคิดที่จะขอยืมเงินเฉินอีในการส่งโต๋วโต๋วเข้าเรียน แต่คิดไปคิดมาอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเงินมากมายนักจึงตัดสินใจที่จะยืมเงินแค่เล็กน้อยและรอจนกว่าการเจรจาความร่วมมือในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วเธอก็จะไปขอเบิกเงินเดือนล่วงเวลากับคุณย่าเพื่อเอามาคืนเฉินอี

“ไม่ เป็นสามีก็ต้องมีเงินซื้อเครื่องสำอางให้ภรรยาอยู่แล้ว”

เฉินอีไม่ได้คาดเดาความคิดของฉินปิงหลันแต่ยังคงพูดถึงเรื่องของเครื่องสำอางอยู่

ฉินปิงหลันกลอกตามองบนใส่เขาพร้อมกับพูดว่า “เก็บเงินเอาไว้เถอะ นายห้ามกู้ยืมเงินมาซื้อบ้านนะ ฉันไม่สามารถอยู่บ้านของคนอื่นได้ตลอดไป นายไม่รู้สึกว่าน่าเกลียดแต่ฉันรู้สึก”

สองชั้นบนของตึกจิ่งช่างนั้นดีมากแต่ยังไงซะมันก็เป็นบ้านของคนอื่นอยู่ดี ตัวเธอฉินปิงหลันนั้นยอมที่จะเช่าบ้านหกสิบตารางเมตรดีกว่าต้องอยู่ที่นี่

แน่นอนว่าต่อไปในภายภาคหน้าก็ต้องขอบคุณคนเหล่านี้ ไมตรีจิตที่มีความรักใคร่ต่อกันนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะตอบแทนได้

เมื่อมองดูฉินปิงหลันเดินจากไป เฉินอีก็อดไม่ได้ที่จะขดริมฝีปากของเขา

กู้ยืมเงิน?

เป็นไปได้ไหมว่าในอนาคตเฉินอีจะต้องเป็นทาสในบ้านที่ต้องผ่อนจ่ายค่าบ้าน

เรื่องตลกน่า!

“มังกรเขียว หาที่ที่แพงที่สุดในเมืองฉือมา ฉันต้องการให้บ้านแก่ภรรยาของฉัน!”

มุมปากมังกรเขียวที่เพิ่งขึ้นมาจากตึกชั้นล่างกระตุกเล็กน้อย

เจ้ามังกรนั้นทุ่มเทมีความเป็นมืออาชีพพอ เขาเตรียมพร้อมที่จะซื้อบ้านและซื้อรถอย่างแน่นอน

เขาเดาไม่ผิดจริงๆ เฉินอีมองลงไปดูฉินปิงหลันที่กำลังรอรถประจำทางอยู่ที่ด้านล่างพร้อมกับครุ่นคิดหาเวลาที่เหมาะสมในการเลือกซื้อรถให้ภรรยาใช้ในการเดินทาง

แต่ในวินาทีต่อมา เฉินอีก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

มีเจตนาฆ่าล็อกตัวเขาเอาไว้

มังกรเขียวก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน เขาเหลือบมองไปที่เฉินอีด้วยท่าทางที่ขอคำเสนอแนะ

“ไม่ต้อง ฉันเองก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะระงับอารมณ์ได้ถึงเมื่อไหร่ อีกอย่างจัดแจงให้มังกรหนึ่งไปดูแลปิงหลันด้วย”

“ครับ!”

มังกรเขียวเดินออกไป เฉินอีจ้องมองไปยังชั้นบนสุดของตึกที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตร

อาคารนี้สูงกว่าสามสิบชั้น สูงกว่าตึกจิ่งช่างด้วยซ้ำ ชั้นบนสุดสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างได้ทั่วสารทิศ

นักฆ่าถืออาวุธปืนสไนเปอร์ชนิดระยะไกลพิเศษและเล็งไปที่ร่างร่างหนึ่งบนชั้นยี่สิบห้าของตึกจิ่งช่าง

“สำเร็จหรือยัง?”

มีเสียงสะท้อนออกมาจากหูฟังซึ่งนั่นก็คือนายจ้างของเขานั่นเอง

หลายปีมานี้ วงการนักฆ่านั้นเหมือนกับวงการนักแสดงดาราอย่างไงอย่างงั้น หากไม่มีนายหน้าก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่

“เฉินอีคือรายชื่อที่คุณชายหลี่เจ๋อสั่งให้ฆ่า นายจัดการได้เร็วแค่ไหน พวกเราก็จะมีเงินเร็วเท่านั้น”

นายหน้าพูดพล่ามอย่างไม่หยุดหย่อนซึ่งนั่นทำให้นักฆ่าแสดงท่าทางที่หมดความอดทน

“โคตรพ่อโคตรแม่มึงสิ นี่มันไม่ใช่ปืนนะเว้ย นี่มันเป็นอาวุธระยะไกลที่ดัดแปลงมาจากธนูหน้าไม้ อัตราการโจมตีก็ไม่ได้สูง นายต้องให้เวลาฉันบ้างสิ”

นักฆ่าพูดด้วยสีหน้าหมดคำพูด

ปืนนั้นถือเป็นสิ่งที่ถูกห้ามในประเทศดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้ของชนิดนี้แก้ขัดไปก่อน พลังทำลายของมันก็ถือว่ามาก เป็นอาวุธควบคุมระดับท็อปฟอร์มและอันที่จริงก็ไม่ได้ทรงพลังน้อยไปกว่าปืนไรเฟิลซุ่มยิงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ความแม่นยำในการยิงที่แย่กว่าปืนปกติมากก็เท่านั้น

นายหน้าของอีกฝ่ายก็รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกันจึงได้แต่พูดว่า “งั้นก็ได้ แต่แกต้องรีบหน่อยนะไม่อย่างนั้นคุณชายหลี่เจ๋อคงจะโทรมากดดันจนสายไหม้ไปเลย ฉันเองก็คงทนไม่ไหวเหมือนกัน”

“วางใจเถอะ วางใจ ก็แค่คนธรรมดาจะไปทำอะไรได้ล่ะ”

นักฆ่าเยาะเย้ย นายหน้าอีกฝั่งเองก็เห็นด้วยเช่นกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ