หล่อนไม่ได้สนใจว่าจะได้เจรจาคุยงานกับวังซื่อกรุ๊ปหรือไม่
ฉินโร่ซีต้องการให้ชื่อเสียงของฉินปิงหลันป่นปี้และตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างไม่รู้จบก็เท่านั้น
จะบอกว่าหล่อนมีความสามารถไหมก็ถือว่ามีแต่ก็เป็นการเล่นทำตัวหยาบคายแบบนี้ตลอด จะบอกว่าหล่อนไม่มีความสามารถก็สามารถพูดได้ว่าไม่มีความสามารถอะไรเลยสักนิดเดียว มองเห็นแต่ความสุขของตนเองและไม่ได้มองภาพรวมอะไรอื่นเลย
เมื่อเทียบกับหล่อนแล้ว การที่ฉินปิงหลันอดกลั้นความโกรธของตนและไม่พูดอะไรออกมาก็เป็นการหาประโยชน์ให้กับตระกูลได้เช่นกันและมันถือเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ
ต่างคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองและท้ายที่สุดก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับคำพูดของฉินต้าเจียงนัก
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็พบร่างของคนสองคนเข้ามาจากด้านนอก
เฉินอี ฉินปิงหลัน
“แม่มึง ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเหรอไงว่าไม่อนุญาตให้พวกเธอย่างกรายเข้ามาอีก?”
ฉินหวยจือเป็นคนแรกที่เอ่ยปากขึ้นมาแต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับดวงตาอันเย็นชาของเฉินอี เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องหดคอกลับลงไปพร้อมกับหันไปมองคุณย่าฉินที่กำลังดูสับสนวุ่นวาย
ทำไมฉันถึงมีหลานที่ขี้ขลาดเช่นนี้!
แต่เขาไม่สามารถตำหนิคนที่จะมาสืบทอดตำแหน่งต่อหน้าคนอื่นได้และจากนั้นก็ได้เหลือบมองไปที่เฉินอี
“หนุ่มน้อยดูเหมือนว่านายจะแพ้ข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างนายกับฉันแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งประธานของฉินซื่อกรุ๊ปจะเป็นของหวยจือ มีปัญหาอะไรไหม?”
“อย่าคิดที่จะมาข่มขู่อะไรฉัน ไม่มีประโยชน์”
หล่อนพูดออกมาอย่างมั่นใจ
เฉินอีรู้อยู่แล้วว่าวิธีนี้ไร้ประโยชน์เพราะว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้คุณย่าฉินได้ทำการอุดช่องโหว่ต่างๆไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หลักฐานที่อยู่ในมือของเขาก็เป็นแค่เศษกระดาษกองหนึ่งเท่านั้น
“เหอะเหอะ ท่านย่า ท่านนี่แข็งแกร่งกว่าลูกหลานของท่านมากเลยนะครับ อย่างน้อยวิธีการก็ดีกว่ามาก”
“แต่ท่านคิดว่าในครั้งนี้ท่านชนะแล้วงั้นเหรอครับ?”
“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฉินอี คุณย่าฉินจะไม่กล้าที่ทำตัวแบบตาต่อตาฟันต่อฟันสักเท่าไหร่และทำได้แค่เพียงพลิกแพลงตามสถานการณ์ไปก็เท่านั้น
วิธีการของชายหนุ่มคนนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กรุ่นหลังจะสามารถไปโต้แย้งได้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะมีลูกไม้อะไรอีก
แต่ฉินหวยจือนั้นไม่รู้ถึงความคิดของคุณย่าที่ต้องการเป็นโล่กำบังให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึงพรวดพราดออกไป “เฉินอี ฉันรู้ว่านายต่อสู้ได้แต่ตอนนี้บ้านเมืองมีขื่อมีแป ถ้านายทำอะไรฉันล่ะก็ฉันจะแจ้งตำรวจเลยคอยดู!”
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่มีจุดอ่อนของตระกูลดังนั้นเขาจึงสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ หากอีกฝ่ายลงมือเขาก็แค่โทรแจ้งตำรวจก็เท่านั้น
จากนั้นก็ได้มองไปที่ฉินปิงหลันพร้อมกับเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำอีก “ฉินปิงหลัน พูดมาเถอะว่าเธอไปนอนร่วมเตียงกับเหยียนเลว่ได้ยังไงกันอีกทั้งจะทำทั้งทียังทำให้ถูกจับได้จนเหยียนเลว่โดนไล่ออกอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังไปทำให้วังซื่อกรุ๊ปไม่เชื่อมั่นในพวกเรา บาปเธอมันหนักหนานัก”
คำพูดของฉินหวยจือนั้นชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาอธิบายพูดทุกอย่างทำให้ฉินปิงหลันกลายเป็นอีตัวคนหนึ่งและใช้คุณธรรมอันสูงส่งนี้โจมตีอีกฝ่ายจนสำเร็จ
หรือจะพูดได้ว่าเขาไม่เชื่อว่าเฉินอีจะไม่รู้สึกอะไรเพียงแต่กลัวว่าจะไปตบปากของฉินปิงหลันเข้าให้น่ะสิ
“ทำให้คนมาเป็นศัตรูกันเอง ฉันนี่ถือว่าฉลาดมากจริงๆ”
ฉินหวยจือภูมิใจเป็นอย่างมาก ส่วนฉินโร่ซีที่อยู่ข้างก็พูดอีกว่า “ฉินปิงหลัน ยังไงซะเธอก็เป็นพี่สาวของฉัน กล้าทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน?ช่างเสื่อมเสียต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงามจริงๆ!”
หล่อนมองไปที่ฉินปิงหลันด้วยท่าทางโอหังอวดดีและต้องการที่จะเห็นชายหนุ่มคนนี้ผิดหวัง
เป็นดังที่คาดไว้ว่าฉินปิงหลันในตอนนี้นั้นดูไม่ค่อยสู้ดีนักและนั่นทำให้ฉินโร่ซีใจร้อนที่จะพูดประชดแดกดันมากขึ้นไปอีก
เพียงแต่!
“ใครจะพูดอะไรเกี่ยวกับภรรยาฉันก็ได้แต่พวกเธอสองคนไม่มีสิทธิ์”
“คนหนึ่งหลอกว่าตัวเองเป็นภรรยาของฉันเพื่อไปพบกับวังจ่างหลิน ส่วนอีกคนก็ผู้หญิงใจง่ายที่ชอบใส่ร้ายคนอื่น พวกเธอมันก็แค่คนเลวสองคนที่สมรู้ร่วมคิดกันก็เท่านั้นแหละ”
เฉินอียังคงพูดจาอย่างฉะฉาน
ฉินหวยจือและฉินโร่ซีโกรธมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“เฉินอี ถ้าจะให้ดีก็สงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”
“อะไรที่เรียกว่าฉันแสร้งทำเป็นฉินปิงหลันกัน?นายคิดว่าฉันจะต้องแสร้งทำตัวเป็นผู้หญิงเลวๆแบบนี้หรอกเหรอ?น่าตลกสิ้นดี!”
สองคนต่างผลัดกันพูดไปมาเพื่อต้องระงับความเย่อหยิ่งของเฉินอี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ