“อ้อ? กองทัพผีอยู่ที่ใด? ขนาดเท่าไร?” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาขมวดคิ้วถาม
“อยู่ที่ป่าหลงทิศห่างเมืองจินกวังไปทางใต้แสนลี้ อีกฝ่ายมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่ง ทหารผีอีกเกือบหนึ่งร้อย แล้วยังมีสุนัขผีอีกหลายร้อยตน” บุรุษแซ่หมิ่นตอบตามจริงอย่างไม่ปิดบัง
“สถานการณ์เช่นนี้…ยังฝ่าวงล้อมออกมาได้ไม่ง่ายจริงๆ ก่อนอื่นเล่าซิว่าหาบาตรแห่งการสร้างพบได้อย่างไร?” บุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม
“เรื่องเป็นเช่นนี้ หน่วยย่อยของผู้น้อยค้นหาทุกหนทุกแห่งแต่ไร้ผลจึงไปตามหาเผ่าภูตเจ็ดทวารที่อยู่ใกล้ๆ แห่งหนึ่ง…รองหัวหน้าหลิ่วเสี่ยงอันตรายสังหารภูตระดับแก่นแท้ตนหนึ่งตามลำพังจึงหาบาตรแห่งการสร้างพบ” บุรุษแซ่หมิ่นเล่าอย่างละเอียดทุกสิ่งทุกอย่าง
“พูดเช่นนี้ ครั้งนี้หลิ่วหมิงสร้างความชอบครั้งใหญ่สินะ! หลิ่วหมิง แม้เจ้าเป็นคนมาใหม่ แต่กองทัพแสงทองจัดการรางวัลและบทลงโทษชัดเจน ครั้งนี้ตามหาบาตรแห่งการสร้างพบได้อย่างราบรื่น เจ้ามีความชอบจริง…” บุรุษวัยกลางคนผู้สีหน้าเย็นชามองมาทางหลิ่วหมิง ในดวงตาฉายแววชื่นชม
“นอกจากนี้ตอนที่พวกเราตกอยู่ในค่ายกลผี รองหัวหน้าหลิ่วแม้ตกอยู่ในอันตรายก็ไม่ตื่นตระหนกจึงลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจนต่ำที่สุดได้” ยังไม่ทันที่บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาจะเอ่ยจบ บุรุษแซ่หมิ่นก็เอ่ยเสริมอีกครั้ง
“ดีมาก นอกจากรางวัลที่สัญญาไว้สำหรับภารกิจครั้งนี้ หลิ่วหมิงจะได้ผลึกความมืดระดับแก่นแท้อีกต่างหากสองลูก เข้าไปในคลังของกองทัพเลือกได้ตามใจ แล้วก็มอบแต้มคุณูปการของนิกายให้อีกหนึ่งแสน สักพักหลังจากนี้จะมีคนไปส่งมอบให้” บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด
“ขอบคุณผู้อาวุโสกู่ยิ่งนัก” หลิ่วหมิงฟังจับก็รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณ
“เอาล่ะ หลิ่วหมิงเจ้าออกไปก่อนเถอะ หมิ่นหรงอยู่ก่อน ครั้งนี้หน่วยย่อยที่เจ็ดเสียศิษย์ไปสองคน ข้าต้องหารือเรื่องการเพิ่มคนใหม่ให้เหมาะสมสักหน่อย” พูดได้ไม่กี่ประโยค ผู้อาวุโสแซ่กู่คนนี้ก็ออกปากไล่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเดิมก็ไม่ได้สนใจเรื่องเบื้องบนในกองทัพแสงทองอะไรนี่อยู่แล้วจึงขอตัวออกมาทันที
ในห้องโถงใหญ่ บุรุษแซ่หมิ่นสนทนากับบุรุษวัยกลางคนใบหน้าเย็นชาต่อ
“ผลงานของหลิ่วหมิงโดดเด่นเช่นนั้นอย่างที่เจ้าเล่าจริงหรือ?” ผู้อาวุโสกู่เอ่ยถามอย่างจริงจัง
“เป็นเช่นนี้จริง จากที่ศิษย์สังเกต ชายหนุ่มผู้นี้แม้พลังอยู่ในระดับแก่นเสมือน แต่ความสามารถจริงน่าจะทัดเทียมกับข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรเลี้ยงแมงป่องกระดูกของชายหนุ่มผู้นี้เหมือนจะข่มภูตผีได้เล็กน้อย” บุรุษแซ่หมิ่นค่อยๆ เอ่ยเล่า
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปรับรางวัลสำหรับหน่วยย่อยของพวกเจ้าก่อนเถอะ ส่วนตัวเลือกสมาชิกหน่วยย่อยเหล่านั้นที่เจ้าพูดถึง ข้าจะพิจารณาดู” บุรุษผู้มีสีหน้าเย็นชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งหัวหน้าหน่วยระดับแก่นแท้ผู้นี้จากไปเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้บทสนทนาครั้งนี้ระหว่างทั้งสองคน เขากลับไปถึงถ้ำที่พักของตนนานแล้ว และกำลังนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดอะไรอยู่เงียบๆ
ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ก็คือได้รู้ว่าเงาเชอฮ่วนตัวนี้กลืนกินภูตผีจำพวกวิญญาณได้ แม้ผลจะสู้วิญญาณของปีศาจอสูรไม่ได้อยู่ไกล แต่ก็ทำให้วิชาลับภาพสัญลักษณ์ก้าวหน้าไปได้เล็กน้อยจริงๆ
หากให้เงาเช่อฮ่วนกลืนกินวิญญาณจำนวนมากต่อไป บางทีอาจมีหวังให้มันบรรลุขั้นปลาย
หลังจากคิดเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียวทันที เขาเคลื่อนพลังเวทไปยังภาพสัญลักษณ์บนหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินสว่างจ้าขึ้นใต้เสื้อ เงาวัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งกระโดดออกมาแล้วแหงนหน้ากู่ร้อง ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวส่องสว่างเห็นชัดกว่าก่อนหน้าอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้กับตาตนเองก็ทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่
…..
ห้องลับแห่งหนึ่งในหอหลักของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าหน้าตาธรรมดาผู้มีเส้นผมขาวโพลนยุ่งเหยิงและสวมชุดสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ที่นี่ แท่นเบื้องหน้าเขาวางบาตรแห่งการสร้างซึ่งพวกหลิ่วหมิงตามหากลับมาเอาไว้
ผู้เฒ่าพินิจตัวบาตรอย่างนิ่งสงบ สายตาหยุดอยู่ตรงรอยบนบาตร จากนั้นเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาผู้นั้นก็กำลังยืนนิ่งอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง
“โชคดีที่บาตรแห่งการสร้างใบนี้มีเพียงรอยบาดเล็กน้อย เสียพลังจิตวิญญาณไปบ้าง แต่ไม่ได้เสียหายจนถึงชั้นจำกัดต้นกำเนิด ซ่อมบำรุงเล็กน้อยก็ใช้งานต่อได้แล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าผมขาวก็พลันเอ่ยปากบอก
“ดีเหลือเกิน ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์อาเหยาแล้ว” พวกทารกเฮ่าเยวี่ยสองคนได้ยินก็โล่งอก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางนอบน้อม
แม้พวกเขาสองคนจะเป็นผู้อาวุโสในกองทัพแสงทอง ฐานะค่อนข้างสูง แต่ผู้เฒ่าตรงหน้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ แล้วยังเป็นปรมาจารย์หลอมศาสตราผู้ได้ฉายาว่าหนึ่งในสามจิตวิญญาณแห่งยอดบริสุทธิ์อีกด้วย เขาเป็นคนระดับสูงที่แท้จริงของกองทัพแสงทอง
สี่ยอดนิกายใหญ่ล้วนผลัดกันส่งผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนหนึ่งมาคุมทางปีศาจร้าย ทุกหนึ่งร้อยปีเปลี่ยนผลัดครั้งหนึ่ง ผู้มากความสามารถที่คุมทางปีศาจร้ายในปัจจุบันก็คือผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์
แต่ผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ปกติไม่ได้อยู่ที่เมืองจินกวัง แต่จะหลบเร้นซ่อนตัวอยู่ในสถานที่สักแห่งใกล้ฐานที่มั่นของเผ่ามนุษย์ ในสถานการณ์ปกติเขาจะไม่ยุ่งเรื่องในกองทัพใหญ่ทั้งหลายของเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเรื่องน้อยใหญ่ในเมืองจินกวังยามนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ไม่กี่คนตัดสินใจ
“บาตรแห่งการสร้างเก็บไว้กับข้าที่นี่เถิด ครึ่งปีหลังจากนี้ พวกเจ้าค่อยส่งคนมารับ” ผู้เฒ่าผมขาวคิดอะไรขึ้นมาได้จึงขึ้นอย่างราบเรียบ
“รับทราบ” ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ตอบเสียงนอบน้อม
“ใช่แล้ว เรื่องที่กองทัพผีร้ายจู่ๆ โจมตีป้อมปราการหมายเลขที่สิบเก้าครั้งนี้ พวกเจ้าตรวจสอบได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้เฒ่าพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายวัยกลางคนแซ่กู่แลกสายตากันแล้วกระแอมขึ้นเบาๆ ก่อนจะรายงาน
“จากในรายงาน ป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าน่าจะถูกกองทัพผีร้ายขนาดใหญ่โจมตีกะทันหัน จากนั้นถูกทำลายจนพินาศ การเคลื่อนไหวของกองทัพผีร้ายครั้งนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่าพวกมันเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงโจมตี อีกทั้งช่วงนี้ป้อมปราการอื่นก็ส่งข่าวมาตามๆ กันว่าพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกองทัพผีร้าย เมื่อรวมกับสถานการณ์เหล่านี้ การจู่โจมครั้งนี้คงจะเป็นการหยั่งเชิง อย่างไรศึกใหญ่ครั้งก่อนก็ผ่านมาเนิ่นนานนักแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา