เวลาไหลไปอย่างเร็วรี่ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวหลิ่วหมิงก็มาที่ทางปีศาจร้ายได้ห้าปีแล้ว
แถบที่ราบแห่งหนึ่งห่างจากหุบเขามืดทางเหนือร้อยลี้มีเมืองมหึมาที่แลดูแข็งแกร่งแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่ พื้นที่เป็นสองเท่าของเมืองจินกวัง กำแพงเมืองสีดำอมน้ำเงินเก่าแก่และเรียบง่ายทอดยาวสูงตระหง่านแผ่ลมปราณอันลึกล้ำไพศาลออกมา แต่บนกำแพงด้านนอกเว้าแหว่งเป็นหลุมน้อยใหญ่ ทิ้งร่องรอยการต่อสู้เอาไว้เหมือนจะบอกแก่ผู้คนว่าป้อมปราการแห่งนี้เคยผ่านสงครามในอดีตมาครั้งแล้วครั้งเล่า
อาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่เช่นเครื่องยิงศรขนาดยักษ์และเครื่องยิงหินชิ้นแล้วชิ้นเล่าเรียงรายอยู่บนกำแพง รอบเมืองยังมีหอสูงรูปร่างเหมือนเสากลมหลายสิบหอ แต่ละหอสูงหลายสิบจั้ง ยันต์นับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนนั้นทอแสงรัศมีหลากสี
ที่แห่งนี้ก็คือป้อมปราการไท่เทียนป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในทางปีศาจร้ายของสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์
เวลานี้ในเมืองจะเห็นผู้ฝึกฝนที่สวมชุดเกราะของกองทัพใหญ่แต่ละแห่งหน่วยแล้วหน่วยเล่าเดินผ่านเป็นระยะ สีหน้าดูเคร่งขรึมยิ่งนัก ทั้งป้อมปราการเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด
ทันใดนั้นขอบฟ้าไกลทางกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นหลายครั้ง ทำให้ผู้ฝึกฝนที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองทยอยจับจ้อง
“ไม่เป็นไร หน่วยลาดตระเวนกลับมาแล้ว!” เสียงบุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดหัวหน้าหน่วยสีขาวดังขึ้น คนที่เหลือถึงทยอยโล่งใจ
เพียงพริบตาเดียวลำแสงที่อยู่ไกลๆ ก็พุ่งผ่านท้องฟ้ามาถึงบริเวณใกล้ๆ พวกเขาคือกลุ่มผู้ฝึกฝนสิบกว่าคน หายตัวไม่กี่ครั้งก็ทยอยร่อนลงบนกำแพงฝั่งทิศเหนือ
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษวัยกลางคนชุดสีเหลืองคนหนึ่งที่ดูหน้าตาอายุเพียงสามสิบกว่าปี แต่สีหน้าดูผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน พลังบรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลาย
ผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนในหน่วยย่อยหลังร่างเขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว สีดำของกองทัพใหญ่ทั้งสี่ แต่ละคนล้วนพลังระดับแก่นเสมือน คลื่นพลังเวทบนร่างแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นทั่วไปแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ ลำบากทุกคนแล้ว แต่ละคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด แต่อย่าได้ผ่อนคลายเกินไปนัก ใครก็ไม่รู้ว่ากองทัพปีศาจร้ายจะโจมตีที่นี่หรือไม่” ชายหนุ่มชุดเหลืองเอ่ยเสียงเข้ม
“รับทราบ!” ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนสิบกว่าคนพยักหน้าตอบ
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองโบกมือครั้งหนึ่งก็หมุนตัวเหาะไปในตัวเมือง คนอื่นต่างก็แยกย้ายกันไป ไม่นานบนกำแพงก็เหลือเพียงชายหนุ่มชุดเกราะสีน้ำเงินคนหนึ่ง
หลิ่วหมิงนั่นเอง
สายตาของเขามองไปไกลๆ ในป้อมปราการไท่เทียน สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ทะยานร่างเหาะลงจากกำแพงเมืองเดินเข้าไปในตัวเมือง ไม่นานเขาก็หยุดอยู่หน้าบ้านศิลาทรงโค้งหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากกำแพงฝั่งเหนือ
เขาโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งแล้วเดินเข้าไปในห้องศิลาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ที่แห่งนี้คือที่พักชั่วคราวแบบหยาบๆ แห่งหนึ่ง แม้พื้นที่ไม่มาก แต่เก้าอี้และเตียงนอนพรักพร้อม แล้วยังวางชั้นจำกัดปิดกั้นไว้หลายชั้น นับว่าเป็นถ้ำที่พักขนาดเล็กที่ครบครันแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง จมลงไปกับการครุ่นคิด
ในเวลาห้าปีนี้สงครามระหว่างกองทัพใหญ่ทั้งสี่กับกองทัพผีร้ายเรียกได้ว่ารุนแรงขึ้นทุกวัน เริ่มแรกยังเป็นเพียงศึกที่เกิดขึ้นในเขตรอบนอก กองทัพใหญ่ทั้งสี่อาศัยข้อได้เปรียบทางชัยภูมิของป้อมปราการที่ต่างๆ จึงป้องกันได้อย่างเหลือเฟือ
แต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป การโจมตีของกองทัพผีร้ายก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นทุกที พวกมันเริ่มโจมตีตัวเมืองของจริง อาณาเขตของกองทัพทั้งสี่จึงหดเล็กลงไม่หยุด ในวันนี้ป้อมปราการทั้งสิบเก้าแห่งของกองทัพแสงทองล่มไปเจ็ดถึงแปดแห่งแล้ว สามกองทัพที่เหลือก็สถานการณ์ใกล้เคียงกัน
เผชิญกับการโจมตีกดดันของกองทัพผีร้าย กองทัพแสงทองแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ส่งกองหนุนไปช่วยสองระลอกติดจึงขวางการโจมตีของกองทัพผีร้ายได้อย่างหวุดหวิด
สถานการณ์ศึกระยะนี้ยิ่งดำเนินไปยิ่งรุนแรง นอกจากกองทัพผีร้ายจะโจมตีป้อมปราการแต่ละแห่งต่อ ในเวลาเดียวกันยังรวบรวมกำลังทหารจำนวนมากมาไว้ใกล้ๆ เมืองจินกวัง เมืองเฮ่าชี่ เมืองฝูหมัวและเมืองขุ่ยเหล่ยทั้งสี่เมืองตั้งท่ากดดันอีกด้วย
แม้ตามที่เป็นมาในอดีต ทุกราวร้อยปีกองทัพผีร้ายจะรวมตัวโจมตีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง วันนี้เวลาก็ใกล้เคียง แต่การโจมตีและขนาดของกองทัพผีเหนือกว่าครั้งหนึ่งครั้งใดก่อนหน้านี้มาก
จะว่าไปแล้วความเป็นมาของกองทัพผีร้ายเหล่านี้ก็เป็นปริศนาเรื่องหนึ่ง ประมือกันมานานปีเช่นนี้ แม้เผ่ามนุษย์จะรู้จักพลังที่พวกมันเผยออกมาภายนอกอยู่บ้าง แต่แท้จริงพวกมันมีไพ่ก้นหีบเท่าไร สี่ยอดนิกายใหญ่เผ่ามนุษย์ก็ไม่อาจบอกได้แน่ชัด
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้กองทัพใหญ่ทั้งสี่จึงจนปัญญาได้แต่ร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวว่าจะรับมือการโจมตีขนาดใหญ่ที่กำลังจะมาของกองทัพผีร้ายอย่างไร
ป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้เป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งระหว่างเมืองหลักของกองทัพทั้งสี่ของเผ่ามนุษย์จะเสียไปไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นแม้ที่นี่จะอยู่ในเขตที่ค่อนไปด้านหลัง แต่ระยะนี้กองทัพทั้งสี่ต่างก็ยังเลือกสมาชิกที่ฝีมือยอดเยี่ยมกลุ่มหนึ่งมาป้องกันการลอบโจมตีจากกองทัพผีร้ายร่วมกับกองกำลังป้องกันที่เดิมทีประจำอยู่ในเมือง
เนื่องจากหลิ่วหมิงแสดงฝีมือได้โดดเด่นในภารกิจหลายหนระหว่างหลายปีนี้ สิบกว่าวันก่อนจึงถูกส่งมาที่นี่
ระหว่างที่เขาครุ่นคิด นอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เขาเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู จึงเห็นสตรีผมสั้นสวมชุดเกราะสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตู นางคือเสี่ยวอู่นั่นเอง
ร่างของสตรีนางนี้แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณจางๆ ออกมา เห็นชัดว่าทะลวงขึ้นระดับแก่นแท้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา