ผู้ฝึกฝนที่รวมตัวกันอยู่ในตำหนักแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สี่กลุ่ม แม้กองทัพทั้งสี่จะร่วมมือกัน แต่ก็ยังจับกลุ่มกันเอง ระหว่างกันและกันยังคุมเชิงกันอยู่เลือนราง
ด้านหน้าสุดของตำหนักมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่สวมเสื้อของฝ่ายดำเนินการอยู่ยี่สิบถึงสามสิบคน ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสของแต่ละนิกายที่ประจำอยู่ในป้อมปราการไท่เทียน เวลานี้สีหน้าแลดูเคร่งขรึมอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่เดินไปอยู่ในกลุ่มของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างเงียบๆ พวกเขายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ค่อนไปทางด้านหน้ารอคอยอย่างเงียบเชียบ
ต่อมาผู้ฝึกฝนก็ทยอยเดินเข้ามาในตำหนักเรื่อยๆ ทำให้จำนวนคนในตำหนักเพิ่มไปถึงหนึ่งพันห้าร้อยคนอย่างช้าๆ
หลังผ่านไปชั่วจิบชาก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นทรงพลังลอยมาจากตำหนักด้านหลัง ตำหนักใหญ่ที่เดิมทียังมีเสียงเอะอะอยู่บ้างเงียบลงในพริบตา
ต่อจากนั้นผู้เฒ่าหนวดเคราสีดำเข้ม ใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากตำหนักด้านหลัง เขายืนนิ่งกวาดสายตามองด้านในตำหนักใหญ่เหมือนไม่ใส่ใจ
“ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์จากนิกายเทียนกงที่ประจำอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสฝาง” เสี่ยวอู่ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ เสียงดังขึ้นในหูของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงฟังแล้วพยักหน้า สายตามองผู้เฒ่าหน้าดำขึ้นๆ ลงๆ อยู่พักหนึ่ง
เขาเพิ่งมาถึงป้อมปราการไท่เทียนได้สิบกว่าวันเท่านั้น ยังไม่เคยพบผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนที่บัญชาการที่แห่งนี้
ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เหล่านี้เป็นกำลังหลักที่แท้จริงของป้อมปราการไท่เทียน ปกติแล้วไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนนอก แม้มีคำสั่งสำคัญต้องสั่งการก็จะเผยหน้าออกมาคนเดียวเท่านั้น
“ครั้งนี้เรียกพวกเจ้ามารวมตัวที่นี่เพราะมีข่าวสำคัญต้องประกาศกับพวกเจ้า” ผู้เฒ่าหน้าดำไม่พูดพร่ำ หลังจากเว้นวรรคชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นมา
“พวกเราเพิ่งได้รับข่าวว่าในที่สุดทัพหน้าของกองทัพผีร้ายก็เริ่มเคลื่อนไหว เวลานี้พลทหารผีร้ายเกือบหมื่นนายกำลังโจมตีเมืองฝูหมัวอยู่”
เสียงของผู้เฒ่าไม่ดังแต่ส่งมาถึงในหูของทุกคนที่นั่นอย่างชัดเจนอย่างยิ่ง
ทุกคนได้ยินล้วนตกตะลึง ในที่สุดสงครามใหญ่ก็เปิดฉากแล้ว
“นอกจากนี้กองทัพผีใกล้เมืองหลักอีกสามแห่งก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน แม้ตอนนี้บริเวณป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้ยังไม่พบกลุ่มผีร้าย แต่พวกเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด สั่งการลงไป เรียกสมาชิกที่ลาดตระเวนข้างนอกทั้งหมดกลับมาเดี๋ยวนี้ นับตั้งแต่ตอนนี้ทุกคนเตรียมตัวรอคำสั่ง!” ผู้เฒ่าหน้าดำเอ่ยเสียงขรึม
“รับทราบ!”
ทุกคนในตำหนักใหญ่ฟังแล้ว ในใจก็หวั่นผวา เสียงขานรับพร้อมเพรียงดังสนั่นดั่งสายฟ้าฟาด สะท้อนก้องไปทั่วทั้งตำหนัก
“เอาล่ะ ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการทุกท่าน พวกท่านพาศิษย์ประจำป้อมออกไปก่อน ทุกคนเตรียมตัวรับสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ คนที่ถูกส่งมาจากสี่กองทัพอยู่ก่อน” ผู้เฒ่าหน้าดำสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยกับผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของตำหนัก
ผู้อาวุโสทั้งหลายของฝ่ายดำเนินการทยอยขานรับทันที แล้วต่างก็คุมศิษย์ประจำป้อมออกจากตำหนักใหญ่ไปอย่างเป็นระเบียบและรวดเร็วยิ่งนัก
ไม่นานในตำหนักใหญ่ก็เหลือคนเพียงหนึ่งร้อยกว่าคน แต่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหัวกะทิพลังระดับแก่นเสมือนจากนิกายต่างๆ ในนั้นยังมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นกับขั้นกลางอยู่อีกสิบกว่าคน เป็นกำลังรบขุมใหญ่ยิ่งขุมหนึ่ง
“ที่รั้งพวกเจ้าไว้ไม่มีเจตนาอื่น แม้พลังของพวกเจ้าจะไม่เลว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสงครามขนาดใหญ่ ต่างคนต่างรบก็ไม่สมควร มีเพียงร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะสำแดงพลังยิ่งใหญ่ออกมาได้ พวกเรามีแผนการต่อสู้ประสานอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องการบอกพวกเจ้าเอาไว้” ผู้เฒ่าหน้าดำเอ่ยเรียบๆ
พวกหลิ่วหมิงได้ยินก็รีบจดจ่อสมาธิตั้งใจฟัง
……
ยามที่ป้อมปราการไท่เทียนลั่นกลองรบเตรียมรับสงคราม กองทัพผีร้ายที่ล้อมอยู่รอบเมืองจินกวัง เมืองเฮ่าชี่และเมืองขุ่ยเหล่ยก็ทยอยเข้าโจมตี สงครามอันโหดร้ายปะทุขึ้นเต็มรูปแบบแล้ว
รอบเมืองจินกวังในเวลานี้ถูกปราณหยินเข้มข้นสีดำทะมึนโอบล้อมจนแม้กระทั่งหยดน้ำก็ไม่อาจลอดผ่าน
ทันใดนั้นปราณหยินเข้มข้นรอบด้านที่เดิมทีสงบนิ่งก็เริ่มปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เวลาเดียวกันนี้ภายในเมืองจินกวังก็โกลาหล ผู้ฝึกฝนที่สวมชุดเกราะสีน้ำเงินหน่วยแล้วหน่วยเล่าพุ่งไปที่กำแพงเมืองดุจสายฟ้าฟาด เครื่องยิงศรยักษ์บนกำแพงเมืองเปล่งแสงแสบตา ผู้ฝึกฝนที่อยู่รอบข้างปรับทิศทางแล้วทยอยเล็งไปไกลทันที
เหนือเมืองจินกวัง ผู้ฝึกฝนกลุ่มใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเรียงแถวเป็นกระบวนทัพสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเป็นระเบียบหลายสิบกอง
กระบวนทัพแต่ละกองประกอบไปด้วยผู้ฝึกฝนยี่สิบกว่าคนที่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้หนึ่งคนเป็นหัวหน้า บุรุษแซ่หมิ่นหัวหน้าหน่วยย่อยที่เจ็ดยามนี้ก็นำหน่วยย่อยหน่วยหนึ่งเฝ้าอยู่ทางนี้เช่นกัน
หลังจากเขาตรวจสอบว่าหน่วยย่อยของตนเตรียมพร้อมเฝ้าระวังแล้วก็หันกลับไปมองเมืองด้านล่าง
ภายในบาตรขนาดยักษ์เหนือหอหลักใจกลางเมืองฉับพลันแผ่แสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า แสงสีทองกระจายไปรอบด้านราวกับมีชีวิตก่อตัวเชื่องช้ากลายเป็นเกราะป้องกันสีทองรูปครึ่งวงกลมขนาดมหึมาอย่างยิ่งโดยมีหอสูงเป็นจุดศูนย์กลาง
บุรุษแซ่หมิ่นมองอยู่หลายครั้งก็รั้งสายตากลับมาแล้วหันศีรษะไปมองกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง
บนกำแพงเมืองด้านนั้นว่างเปล่า รอบด้านไม่มีทหารสักนาย แต่มีผู้อาวุโสระดับแก่นแท้หลายคนยืนอยู่ที่นั่น ผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ย ผู้อาวุโสแซ่กู่ล้วนยืนอยู่ในแถว
ผู้เฒ่าชุดแดงดวงตาสีฟ้าครามคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางของพวกเขา เขาก็คือเหยาฟู่เหวินผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์หนึ่งในเสาหลักของเมืองจินกวังนั่นเอง
นิกายยอดบริสุทธิ์มีผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อยู่ทั้งหมดสามคน คนหนึ่งในนั้นอยู่ที่ป้อมปราการไท่เทียน อีกสองคนล้วนอยู่ในเมืองจินกวังแห่งนี้
ยามนี้ศึกใหญ่กำลังมาเยือน มีผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อยู่ข้างกาย บุรุษแซ่หมิ่นอดไม่ได้รู้สึกวางใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา