ห่างจากป้อมปราการไท่เทียนไปทางเหนือสิบกว่าลี้ บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาทอดยาวที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทาขมุกขมัวผืนหนึ่ง เมฆภูตสีดำสนิทขนาดมหึมาหลายก้อนลอยละล่องอยู่
ในเมฆภูตเห็นเงาผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่ผิดธรรมดาสี่ร่างยืนอยู่เลือนราง พวกเขากำลังมองมาทางป้อมปราการไท่เทียนจากไกลๆ
ลมปราณที่แผ่ออกมาจากบนร่างผีร้ายสี่ตนนี้แข็งแกร่งอย่างที่สุด เห็นชัดว่าเป็นผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์!
“ตอนนี้ภูตผีที่รวมตัวอยู่ใต้ป้อมปราการไท่เทียนเกินสามหมื่นตนแล้ว พอประมาณแล้วสินะ” ในหมู่ทั้งสี่ตน ผีแม่ทัพใหญ่ผู้มีดวงตาสองข้างสีแดงพลิงและมีประกายแสงสีแดงในนัยน์ตาตนที่อยู่ทางซ้ายมือรั้งสายตากลับมาแล้วหันไปมองสามตนที่เหลือ จากนั้นจึงเอ่ยปากเช่นนี้
“เมื่อรวมกับที่ตายด้วยค่ายกลไท่เทียนก่อนหน้านี้ เหลือเฟือแล้ว” ผีแม่ทัพใหญ่ผู้ทั้งร่างเป็นโครงกระดูกสีขาว บนศีรษะเต็มไปด้วยเส้นผมสีเขียวด้านข้างเขาพยักหน้าเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฮ่ะๆ หากไม่ใช่เพราะผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้ทะนงในความคิดตนจนใช้ค่ายกลไท่เทียน แผนการของพวกเราก็ไม่แน่ว่าจะราบรื่นเช่นนี้! ผีแม่ทัพใหญ่ที่กล้ามเนื้อทั้งร่างบวมปูดแดงก่ำ ร่างกายกำยำดุจวัวอีกตนหนึ่งหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เอาล่ะ วาจาไร้สาระเก็บเอาไว้พูดกันทีหลังเถอะ พวกเราเริ่มกันได้แล้ว” ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินที่มีเขายาวคล้ายแพะที่ยืนอยู่ด้านขวาสุดเอ่ยเสียงเข้ม
สามตนที่เหลือได้ยินพลันสบตากันแล้วพยักหน้าน้อยๆ
ครู่ต่อมาปราณสีดำบนร่างทั้งสี่ตนก็โถมทะลักออกมา ร่างกายขยับวูบเดียวเร้นกายลงไปจากเทือกเขา หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ศึกอันดุเดือดที่ป้อมปราการไท่เทียนยังคงดำเนินต่อไป นอกกำแพงเมืองสี่ด้าน ศพภูตผีร่างแล้วร่างเล่ากองพูนดั่งภูเขา บนซากศพมีปราณหยินสีเทาลอยขึ้นมาไม่ขาด ทำให้ไอหมอกสีเทาที่รวมตัวกันอยู่แต่เดิมนานแล้วรอบป้อมปราการหนาทึบกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายส่วนจนค่อยๆ กลายเป็นสีดำสนิทประหนึ่งน้ำหมึก
ผ่านไปไม่นาน นอกป้อมปราการทั้งหลังก็ราวกับถูกวงแหวนหมอกสีดำมหึมาอย่างยิ่งวงหนึ่งล้อมเอาไว้
เหนือพื้นดินรอบป้อมปราการเริ่มมีแสงสลัวสีดำจางๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าผุดขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียง ทันทีที่ศพของภูตผีสัมผัสถูกแสงมืดหม่นนี้ พวกมันก็ละลายกลายเป็นปราณสีดำหนาทึบ ลอยละล่องไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
บนกำแพงเมืองแสงกระบี่สีม่วงในมือหลิ่วหมิงสว่างวูบฟันอสูรแห่งความมืดที่กระโจนขึ้นมากลางอากาศตัวหนึ่งเป็นสองท่อน เขาเหลือบสายตามองแวบหนึ่ง ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ปราณหยินรอบด้านหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสายตาของเขาก็เริ่มได้รับผลกระทบอย่างมากแล้ว
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าดูใต้กำแพงเมือง” ร่างของเสี่ยวอู่ขยับวูบเดียวก็โฉบมาอยู่ข้างกายหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเสียงเบา
หลิ่วหมิงมองลงไปใต้กำแพงเมืองตามคำบอก แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
ด้านล่างมีปราณหยินหนาทึบสายแล้วสายเล่าลอยขึ้นมาข้างบนไม่ขาด ต้นกำเนิดก็คือซากศพของภูตผีที่ละลายอย่างผิดแปลกร่างแล้วร่างเล่า!
บนหอของป้อมปราการ พวกผู้เฒ่าแซ่ฝางสี่คนสังเกตเห็นความผิดปกติใต้กำแพงเช่นเดียวกัน ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ยังไม่ทันที่ทั้งสี่คนจะตอบสนอง เหตุการณ์พลิกผันก็บังเกิด!
ปราณดำใต้กำแพงเมืองฉับพลันลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนกลืนภูตผีระดับล่างและอสูรแห่งความมืดที่กำลังโจมตีเมืองไว้ด้านในจนหมด
ม่านแสงสีเงินที่เดิมทีปกป้องป้อมปราการทั้งหลังอยู่ เมื่อสัมผัสถูกปราณดำพลันส่งเสียงดังชี่!
“ศิษย์ทั้งหมดถอย!”
เสียงตวาดห้วนดังขึ้นในหูของศิษย์เช่นพวกหลิ่วหมิง สะเทือนแก้วหูทุกคนจนดังวิ้ง
เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่ง ผู้เฒ่าจมูกแดงซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์แห่งนิกายยอดบริสุทธิ์พลันปรากฏกายตรงหน้าพวกหลิ่วหมิง เขาสะบัดแขนเสื้อกว้าง ลำแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไปจมลงในม่านแสงสีเงินที่ผู้ฝึกฝนจากกองทัพคุณธรรมควบคุมอยู่
ม่านแสงสีเงินส่งเสียงดังพรึ่บพร้อมกับที่แผ่ขยายและแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ในเวลาเดียวกันก็กั้นปราณสีดำที่ลอยขึ้นมาด้านบนไว้ข้างนอก
เสียงชี่ดุจอสรพิษแลบลิ้นดังมาจากท่ามกลางปราณสีดำ ทหารผีและภูตแห่งความมืดที่ถูกล้อมอยู่ด้านในส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนครั้งแล้วครั้งเล่าในทันใด
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็ก ท่ามกลางปราณสีดำ ไม่ว่าภูตผีหรืออสูรแห่งความมืดล้วนราวกับถูกสาดน้ำกรด ร่างกายละลายอย่างรวดเร็วแล้วผสานเข้ากับปราณสีดำหนาทึบ
ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ลมหายใจ ภูตผีหลายหมื่นที่ล้อมโจมตีป้อมปราการไท่เทียนอยู่ก็ถูกปราณสีดำกลืนกินเข้าไปค่อนครึ่ง มีเพียงผีรองแม่ทัพกับอสูรแห่งความมืดที่พลังแข็งแกร่งจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังดิ้นรนอย่างสิ้นหวังอยู่ แต่เห็นชัดว่าล้วนเปล่าประโยชน์
เมื่อได้รับพลังหล่อเลี้ยงปราณสีดำก็ยิ่งหนาทึบ มันแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วแล้วก่อตัวเป็นเกราะหมอกสีดำทรงครึ่งวงกลมขนาดมหึมาอย่างยิ่งอันหนึ่ง ล้อมป้อมปราการไท่เทียนทั้งหมดเอาไว้ด้านใน
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนต่างมองหน้ากัน
“นี่มันค่ายกลสุสานผี!”
หลิ่วหมิงแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่ทันทีที่สัมผัสถูกไอหมอกสีดำก็ไม่อาจทะลุผ่านไปได้แม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านี้ ท่ามกลางปราณสีดำยังมีปราณหยินแผ่ออกมาเลื้อยรัดจิตสัมผัสของเขาไว้ เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที อดไม่ได้นึกถึงค่ายกลสายวิญญาณชนิดหนึ่งในตำนานที่เขาเคยอ่านพบในหอเก็บคัมภีร์
ความหมายเหมือนเช่นชื่อ ค่ายกลสุสานผีก็คือค่ายกลที่ต้องสังเวยภูตผีจำนวนมากจึงจะตั้งสำเร็จ ทันทีที่ถูกขังไว้ด้านในเก้าตายรอดหนึ่ง ทรงพลังอย่างที่สุด!
เสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ด้วยกันกับเขาและศิษย์จากกองทัพแสงทองคนอื่นได้ยินเข้า สีหน้าก็อึ้งไปอยู่บ้าง เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา