ดวงตาของศิษย์ระดับแก่นแท้สามคนที่เหลือฉายแววประหลาดใจยามเหลือบมองเซียเอ๋อร์บนหัวไหล่ของหลิ่วหมิง เมื่อเห็นว่ามันเป็นเพียงอสูรเลี้ยงจำพวกภูตผีระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่งก็ละสายตาไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เองสัญลักษณ์มงกุฎบนหน้าผากของเซียเอ๋อร์พลันส่องแสง แสงสีทองเจิดจ้าดวงหนึ่งระเบิดออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจพลันยินดี หลังจากเซียเอ๋อร์เข้าสู่ระดับแก่นเสมือน แสงสีทองที่เปล่งออกมาเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าแสบตากว่าไม่น้อย
เพียงชั่วครู่แสงสีทองทั้งหมดก็รวมกันกลายเป็นแสงสีทองเส้นหนาพุ่งออกไปด้านหน้าอย่างเร็วแล้วโจมตีบนม่านแสงปราณดำที่ทั้งสี่คนโจมตีอยู่เสียงดังสนั่น ไอหมอกสีดำฉับพลันละลายอย่างรวดเร็วดุจน้ำแข็งต้องถ่านร้อน ผลลัพธ์ที่ได้ดีเสียยิ่งกว่าอาวุธทำลายค่ายกลชิ้นใดๆ ในมือทั้งสี่คน
ชายหนุ่มหน้าซื่อจากนิกายเทียนกงมองเซียเอ๋อร์อย่างประหลาดใจ สายตาของเขาหยุดบนสัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากของมันอยู่ชั่วครู่
สีหน้าของคนอื่นก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มชุดเหลืองนัก แต่สถานการณ์นี้ย่อมเป็นเรื่องดี พวกเขาจึงพากันทุ่มสุดกำลังต่อด้วย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทั้งสี่คนได้แสงสีทองที่เซียเอ๋อร์ปล่อยออกมาสนับสนุน ม่านแสงปราณดำก็เว้าแหว่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
ห้าชุ่น สี่ชุ่น สามชุ่น…
ในที่สุดม่านแสงปราณสีดำก็สั่นไหวอย่างรุนแรงปริแยกเป็นช่องโหว่ขนาดครึ่งจั้งช่องหนึ่ง ปราณดำรอบปากทางถาโถมเหมือนอยากจะเชื่อมปิดช่องโหว่
“ไปเร็ว!”
ชายหนุ่มหน้าซื่อจากนิกายเทียนกงคำรามเบาๆ ร่างกายเหาะออกจากช่องไปดุจสายฟ้า
สองคนที่เหลือก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหาะเร็วไวตามออกไปติดๆ หลิ่วหมิงกวักมือเรียกเซียเอ๋อร์กลับเข้ามาในถุงหล่อเหลี้ยงวิญญาณ เขาหันหลังกลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง ก่อนที่จะขยับร่างพุ่ง ทะลุผ่านช่องโหว่บนม่านแสงออกไปเป็นคนสุดท้าย
ร่างของเขาเพิ่งเหาะพ้นปากทาง ช่องโหว่บนหมอกสีดำก็ส่งเสียงดัง “ฟึบ” เบาๆ แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม
ทันทีที่ทั้งสี่คนออกจากมหาค่ายกลสุสานผีได้ พวกเขาก็ไม่กล้าหยุดอยู่ที่เดิมแม้แต่น้อย ต่างเหาะแยกย้ายกันไปคนละทิศทางอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่มหาค่ายกลสุสานผียังไม่ถูกทำลาย ค่ายกลนี้จะตัดขาดคลื่นพลังเวททั้งปวงระหว่างด้านในกับด้านนอก อีกทั้งช่องว่างที่ฉีกขาดนี้คงอยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผีร้ายด้านนอกถูกการต่อสู้อันน่าตื่นตะลึงบนท้องฟ้าดึงความสนใจอยู่ ในชั่วเวลาหนึ่งจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นพวกเขา
เพียงพริบตาเดียวทั้งสี่คนก็หนีออกจากวงล้อมอันแน่นหนาของกองทัพผีร้ายสำเร็จ
แต่ขณะที่หัวใจของหลิ่วหมิงเพิ่งจะผ่อนคลายลงนั่นเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นเทาราวกับถูกอสูรยักษ์บางตัวจ้องเขม็ง
“จะหนีไปไหน!”
เสียงตวาดเหี้ยมเกรียมดังมาจากบนท้องฟ้าพร้อมกับแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลที่ทำให้พวกหลิ่วหมิงสี่คนใจสะท้าน
อึดใจต่อมาเหนือศีรษะของทั้งสี่คนต่างก็มีเงาฝ่ามือมหึมาขนาดหนึ่งหมู่ข้างหนึ่งคว้าลงมา ที่แท้เป็นฝีมือผีแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ตน มือข้างหนึ่งบังคับธงค่ายกล อีกมือหนึ่งคว้ามาหาพวกหลิ่วหมิง
“เหอะ!”
ดวงตาหลิ่วหมิงฉายแววเหี้ยมเกรียม ขอเพียงหนีออกไปได้ระยะหนึ่ง ผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์เหล่านี้ย่อมต้องพะวงกับการรักษามหาค่ายกลสุสานผี ไม่มีทางไล่ตามมา ส่วนภูตผีตนอื่นต่อให้เป็นผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ก็ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขาแม้แต่น้อย
มือข้างหนึ่งของเขาทำท่าเคล็ดวิชาทันที ฉับพลันร่างกายก็เลือนหายกลายเป็นเงาดำหน้าตาเหมือนกันทุกประการสี่ร่าง แล้วเพิ่มความเร็วพุ่งเร็วจี๋แยกไปด้านหน้าสี่ทาง
เสียงอุทานดังขึ้นเบาๆ ฝ่ามือยักษ์สีแดงฉานข้างหนึ่งที่เดิมทีพุ่งมาหาหลิ่วหมิงชะงักกลางอากาศครึ่งลมหายใจ ก่อนจะแยกเป็นสี่มือกดลงมาหาเงาทั้งสี่ร่าง
แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงต้องการก็คือการหยุดชะงักชั่วครึ่งลมหายใจนี่!
“บึ๊ม!” เสียงดังสนั่น
ก่อนที่ฝ่ามือยักษ์ทั้งสี่จะร่วงลงมา เงาสี่ร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นก็เหาะพ้นจากขอบเขตที่ถูกทับอย่างหวุดหวิด
ในแดนมายาของดวงตามายา เขาจำลองการต่อสู้กับปีศาจสายฟ้ามาไม่รู้กี่ครั้ง การรับมือกระบวนท่าฝ่ามือยักษ์ที่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สร้างขึ้นนี้ เขาเชี่ยวชาญยิ่งนัก!
ศิษย์อีกสามนิกายล้วนแต่เป็นผู้โดดเด่นในหมู่ระดับเดียวกันจากแต่ละนิกาย ในสถานการณ์ที่เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว แม้สุ่มเสี่ยงแต่พวกเขาก็ล้วนหลบพ้นการโจมตีของผีแม่ทัพใหญ่ทั้งสามตนได้อย่างปลอดภัย
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงพลันโบกมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อยกร่างของเขาลอยขึ้น กลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่ง กะพริบวูบเดียวพุ่งไปไกลหลายร้อยจั้ง
สามคนที่เหลือต่างสำแดงพลังของตน บ้างเรียกเรือเหาะ บ้างงอกปีกกลไกออกมาจากแผ่นหลัง พุ่งไปสามทิศทางที่เหลืออย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนี้ แม้พวกผู้เฒ่าแซ่ฝางด้านในป้อมปราการไท่เทียนจะไม่เห็นสานการณ์ของพวกหลิ่วหมิงด้านนอกมหาค่ายกลสุสานผีชัดเจน แต่พวกเขาต่างกระตุ้นร่างพลังเวทด้านหลังให้ระเบิดการโจมตีที่ดุดันยิ่งกว่าเดิมออกมาพร้อมกันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้มหาค่ายกลสุสานผีทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนส่องแสงวูบวาบอีกครั้ง
บนท้องฟ้าเหนือค่ายกล ผีแม่ทัพใหญ่ผมเขียวที่สวมชุดเกราะกระดูกมองลำแสงสี่สายที่เคลื่อนออกไปไกลเรื่อยๆ ดวงตาทอประกายดุร้าย มีเด็กเผ่ามนุษย์เล็ดลอดหนีไปได้ใต้หนังตา จะไม่ให้เขาโกรธจัดได้อย่างไร ร่างกายขยับหมายจะไล่ตามไปโจมตี
“เคอหมาน หยุดนะ! ปกป้องค่ายกลสำคัญกว่า!” เสียงของผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินดังขึ้นในหูของผีแม่ทัพใหญ่ผู้สวมชุดเกราะกระดูก
เผ่ามนุษย์ด้านในป้อมปราการโจมตีมหาค่ายกลสุสานผีไม่หยุด พวกเขาสี่ตนต้องร่วมมือกันถึงจะปกป้องค่ายกลไว้ได้อย่างหวุดหวิด หากขาดไปสักตนจนมหาค่ายกลสุสานผีถูกทำลาย สิ่งที่ลงแรงไปก่อนหน้าย่อมสูญเปล่าสิ้น
ร่างของผีแม่ทัพใหญ่ชุดเกรากระดูกชะงัก ในที่สุดก็ยั้งร่างกายเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา