ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1042

เวลานี้เองพวกผู้เฒ่าแซ่ฝางผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนในป้อมปราการไท่เทียนต่างก็ลงมือ

ทั้งสี่คนยกมือข้างหนึ่งพร้อมกันแล้วเรียกอาวุธเวทของแต่ละคนออกมา!

ผู้เฒ่าจมูกแดงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์เรียกกระจกแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวที่สลักภาพสัญลักษณ์ปลามีปีกบางชนิดชิ้นหนึ่งออกมา ทันทีที่ใช้เคล็ดวิชากระตุ้น เงามัจฉาติดปีกสีน้ำเงินแวววาวนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากบานกระจก เงามัจฉาติดปีกแหวกว่ายเลี้ยวลดท่ามกลางหมอกสีดำหนาทึบรอบด้านราวกับสิ่งมีชีวิตแล้วอ้าปากกว้างฮุบปราณสีดำเข้าไป

ส่วนผู้เฒ่าแซ่ฝางแห่งนิกายเทียนกงล้วงวงล้อบินกลไกที่ทอแสงสีขาวชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ปากเอ่ยท่องมนตร์ วงล้อบินหมุนกลางอากาศก่อนจะกลายเป็นจานแสงรูปวงกลมอันหนึ่ง มันส่งเสียงดังกึกๆ ขณะที่ดีดแถบแสงสีขาวโพลนคมกริบออกจากด้านในพุ่งใส่ไอหมอกที่ปั่นป่วนทั่วทุกสารทิศไม่หยุด ไอเย็นที่หนาวจนเสียดกระดูกสายหนึ่งแผ่ออกมาทำให้ปราณดำของมหาค่ายกลสุสานผีเหมือนจะไหลช้าลงหลายส่วน

มุกกลมที่มีหมอกสีม่วงรายล้อมลูกหนึ่งลอยอยู่หน้าบุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหราน มันส่งลมพายุสีม่วงสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าชนมหาค่ายกลสุสานผีไม่หยุดราวกับมังกรคลั่ง

อาวุธเวทที่บุรุษร่างใหญ่ผิวสีดำจากนิกายปีศาจลี้ลับควบคุมก็คือศิลายักษ์สีดำที่เขาแบกไว้บนแผ่นหลัง เวลานี้มันขยายจนใหญ่ร้อยจั้งอยู่เบื้องหน้าเขาประหนึ่งเนินเขาขนาดเล็กลูกหนึ่ง บนผิวของมันสลักอักขระประหลาดสีเขียวเข้มขนาดมหึมาไว้สามตัว วงแหวนแสงสีเขียววงแล้ววงเล่าปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า พุ่งกระหน่ำไปทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ทั้งสี่คนร่วมมือกันเรียกอาวุธเวทออกมา พลังของพวกเขาย่อมมหาศาลมากกว่าศิษย์พันคนรวมกัน เกราะหมอกปราณสีดำที่เพิ่งมั่นคงขึ้นเมื่อครู่เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

นอกป้อมปราการไท่เทียน พวกผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงสี่ตนสีหน้าเคร่งเครียดทันที ปากท่องมนตร์รัวเร็ว โบกสะบัดธงค่ายกล พลังวิญญาณในร่างถ่ายเทเข้าสู่ค่ายกลไม่ขาดสายเสริมความแข็งแกร่งให้มหาค่ายกลสุสานผี

ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์แปดคนขับเคี่ยวกันด้วยพลังเวทผ่านมหาค่ายกลสุสานผี!

ตอนนี้สายตาของทุกคนด้านในและด้านนอกป้อมปราการต่างจับจ้องพลังเวทที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครสังเกตเสียงดังกุกกักแผ่วเบาที่ดังขึ้นมุมหนึ่งใกล้พื้นดินของกำแพงป้อมปราการ เกิดรอยปริแตกเรียวเล็กเส้นหนึ่ง ด้านในคือมิติขนาดไม่ใหญ่อันหนึ่ง พวกหลิ่วหมิงสี่คนล้วนอยู่ในนี้

ม่านแสงปราณดำของมหาค่ายกลสุสานผีอยู่ด้านหน้าห่างจากรอยแตกไม่ไกล แต่ตรงนี้เป็นจุดที่แนบติดพื้นดิน เนื่องจากการปะทะพลังเวทรุนแรงเหนือกำแพงเมืองและผีร้ายทั้งหมดลอยอยู่กลางท้องฟ้าจึงไม่มีผู้ใดสังเกตสถานการณ์บนพื้น

พวกเขาสี่คนยืนอยู่ในมิติเงียบๆ คล้ายกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

ในตอนนั้นเองบนท้องฟ้าเหนือกำแพงป้อมปราการ ร่างพลังเวทมหึมาร่างหนึ่งก็ลอยขึ้นมาด้านหลังพวกผู้เฒ่าฝาง คลื่นพลังเวทรุนแรงแผ่ออกมา ผืนนภาราวกับจะสะเทือนเพราะมัน

อาวุธเวทของทั้งสี่คนดุจได้รับยาบำรุง ส่องสว่างเจิดจ้าในทันใด!

“โจมตี!”

ทันทีที่ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการทุกคนบนกำแพงเมืองเห็นพวกผู้เฒ่าแซ่ฝางสี่คนปล่อยร่างพลังเวทออกมาก็เรียกศิษย์จากนิกายต่างๆ ด้านหลังให้ลงมือสุดแรงประสานกับการโจมตีของผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งสี่คน

ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบๆ” กับเสียงระเบิดดัง “บึ๊มๆ” ก็ดังกึกก้องทั่วท้องฟ้าเหนือป้อมปราการไท่เทียน

แสงรัศมีหลากสีละลานตานับไม่ถ้วนโจมตีมหาค่ายกลสุสานผีรอบด้านเสียงดังกระหึ่มดุจพายุฝนกระหน่ำ ปราณสีดำบนค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วค่อยๆ กระจายไป

ด้านนอกมหาค่ายกลพวกผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงเห็นสถานการณ์สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ปราณดำทะลักออกจากร่าง โถมเข้าไปในมหาค่ายกลเบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง

นอกจากพวกเขา ผีแม่ทัพที่เหลือก็นำยอดฝีมือแห่งกองทัพผีเกือบหมื่นนายถ่ายเทปราณวิญญาณทั้งหมดเข้าสู่เกราะหมอกปราณดำทันทีเสมือนหนึ่งเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจเช่นกัน

ด้านในมิติด้านล่างของกำแพงป้อมปราการไท่เทียน พวกหลิ่วหมิงสี่คนดวงตาเป็นประกายทันที

“ตอนนี้แหละ!”

ชั่วอึดใจรอยแตกบนกำแพงเมืองก็ปริออกจนสูงเท่าตัวคน ทั้งสี่คนเรียงแถวออกมาจากด้านใน

หลิ่วหมิงยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ปราณดำสายหนึ่งแผ่ออกมาล้อมทั้งสี่ไว้ด้านใน

บนร่างของทั้งสี่คนทอแสงต่างสีใต้การปกปิดของปราณสีดำ

หลิ่วหมิงเรียกแผ่นกลมที่ทอแสงสีขาวระยิบระยับแผ่นหนึ่งออกมา บนนั้นสลักลวดลายประหลาดจำนวนหนึ่งกับอักขระลี้ลับจำนวนมากมายเอาไว้ ทันทีที่ท่องมนตร์ แผ่นค่ายกลก็ฉายแสงสีขาวลำหนึ่งลงบนกำแพงสีดำเบื้องหน้า

เมื่อถูกแสงสีขาวสาดส่อง กำแพงปราณสีดำพลันสลายตัวอย่างเชื่องช้า

แผ่นกลมนี้ก็คืออาวุธลับทำลายชั้นจำกัดที่ผู้เฒ่าจมูกแดงมอบให้เขา คล้ายกับตะกร้าฝ่าค่ายกลชิ้นนั้นที่ยืมมาจากทารกเฮ่าเยวี่ย แต่ยังด้อยกว่าอาวุธเวทที่แท้จริงอยู่ขั้นหนึ่ง

สามคนที่เหลือต่างหยิบอาวุธทำลายชั้นจำกัดที่ผู้อาวุโสประจำนิกายมอบให้ออกมาบ้าง

สิ่งที่อยู่ในมือสตรีผู้ปิดบังใบหน้าจากนิกายปีศาจลี้ลับคือเตาหลอมสำริดใบน้อย บุรุษร่างใหญ่เคราเฟิ้มแห่งสำนักเฮ่าหรานเรียกลิ่มสั้นที่ทอประกายเย็นเยียบแท่งหนึ่งออกมา ส่วนบนหัวไหล่ของชายหนุ่มหน้าซื่อแห่งนิกายเทียนกงมีหุ่นจิ้งจอกสีน้ำเงินเข้มอยู่ตัวหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างของมันทอประกายเจิดจ้าคล้ายกับลำแสงบนแผ่นกลมสีขาวของหลิ่วหมิง

ระหว่างที่ทั้งสี่คนควบคุมอาวุธให้ทำลายค่ายกลไม่หยุด ม่านแสงปราณสีดำด้านหน้าก็บางลงอย่างเชื่องช้า

เหนือกำแพงเมืองด้านบนคลื่นพลังเวทรุนแรงยังคงปะทะกันอยู่ มหาค่ายกลสุสานผีส่องสว่างวูบวาบ ทุกคนด้านในและด้านนอกค่ายกลล้วนตาแดงก่ำใกล้จมสู่ความบ้าคลั่ง Aileen-novel

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา