ณ ห้องลับในหอหลักของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนผมสีเทาสีหน้าเคร่งเครียดยืนข้างกันอยู่ตรงมุมประจำของค่ายกล
เวลานี้เบื้องหน้าทั้งสองคนว่างเปล่า วงค่ายกลที่อยู่บนพื้นก็แลดูหม่นแสงไร้ประกาย
“ค่ายกลส่งสารไม่ทำงาน หรือป้อมปราการไท่เทียนจะ…ถูกตีแตกแล้ว?” บุรุษวัยกลางคนผมสีเทามองค่ายกลใต้เท้าแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
“ป้อมปราการมีระดับดาราพยากรณ์สี่คนคุ้มครองอยู่ แล้วยังมีศิษย์หัวกะทิที่นิกายส่งไปก่อนหน้านี้อีก กำลังพลมีแต่จะแข็งแกร่งกว่าเมืองจินกวังของพวกเรา นอกจากนี้หากจำเป็นจริงๆ ก็ยังมีค่ายกลไท่เทียนเป็นไพ่ก้นหีบอยู่ ไม่มีทางถูกตีแตกง่ายดายเช่นนั้นแน่ หากให้ข้าคาดการณ์ กองทัพผีร้ายน่าจะใช้วิชาลับอันใดสร้างชั้นจำกัดปิดกั้นการส่งสารของป้อมปราการ สี่เมืองใหญ่ของพวกเราจึงขาดการติดต่อระหว่างกันกะทันหัน” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับมาพร้อมแววตาไหววูบ
“เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเช่นนั้น หากเป็นเช่นนี้พวกเราย่อมตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ ยามนี้สถานการณ์นอกเมืองแห่งนี้ก็ซับซ้อนอยู่เล็กน้อย ชั่วครู่ชั่วยามไม่อาจส่งกองหนุนฝ่าวงล้อมออกไปได้” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาฟังจบก็พยักหน้าช้าๆ
“ภารกิจเร่งด่วนคือต้องคิดหาวิธีบอกเรื่องนี้กับอาจารย์อาหั่วเยี่ย…แต่ตอนนี้หนทางส่งสารทั้งหมดของพวกเราล้วนถูกตัดขาด จะแจ้งอาจารย์อาหั่วเยี่ยอย่างไรกลายเป็นปัญหา” ผู้เฒ่าแซ่เหยาคิดหาหนทางไม่ออกจริงๆ
“ก่อนหน้านี้ตอนป้อมปราการไท่เทียนถูกล้อม ข้าคิดไปคิดมาก็ได้แจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์อาไปบ้างแล้ว เขารักษาการณ์อยู่ที่หุบเขามืดห่างจากไท่เทียนไม่ไกล ทันทีที่ไท่เทียนพบวิกฤติ ด้วยพลังของเขาจะต้องล่วงรู้แน่ หากท่านผู้เฒ่าออกหน้า เพียงปลายดาบสะกิดวงล้อมที่ไท่เทียนก็คงคลี่คลาย” บุรุษวัยกลางคนผมสีเทาได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพลิกมือเรียกหยกสีขาวขนาดเท่ากำปั้นชิ้นหนึ่งออกมา มันใสแวววาวรูปร่างเหมือนหนอนตัวหนึ่งขดตัวอยู่ แต่ดูเหมือนของธรรมชาติไม่มีร่องรอยการแกะสลักแต่อย่างใด
“สิ่งนี้คือ?” สายตาของผู้เฒ่าแซ่เหยาจับอยู่บนหยกรูปหนอนสีขาว แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“พี่เหยา ท่านเพิ่งเข้ามาที่นี่ไม่นานจึงไม่รู้จักของสิ่งนี้ นี่คือสมบัติลับสำหรับส่งสารที่อาจารย์อาหั่วเยี่ยใช้หยกหนอนสมุทรวัตถุดิบที่มีเฉพาะในที่แห่งนี้สร้างขึ้นมา มันมีอยู่เป็นคู่ส่วนหยินกับส่วนหยาง ใช้ปราณหยินในที่แห่งนี้เป็นตัวการในการส่งข่าว ตอนท่านผู้เฒ่าไปจากที่นี่ได้มอบหยกหยินไว้กับข้า ส่วนหยกหยางอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวเขา แต่หยกนี้ในเวลาสั้นๆ ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“โชคดีที่เจ้าคิดรอบคอบ ครั้งนี้ยุ่งยากมากแล้วจริงๆ” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเข้าใจสถานการณ์ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับที่ในใจโล่งอก
……
ในเวลาเดียวกันนี้ศิษย์ประจำป้อมปราการไท่เทียนจากสี่กองทัพใหญ่กำลังวิ่งไปมาบนกำแพงเมืองตามคำสั่งของผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการ คล้ายกับว่ากำลังตั้งอะไรอยู่
ตอนนี้ป้อมปราการไท่เทียนถูกค่ายกลสุสานผีประตูดำล้อมไว้เป็นเวลาเกือบครึ่งค่อนวันแล้ว แม้จะมีชั้นจำกัดขวางอยู่ แต่ปราณหยินในเมืองก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์ที่ระดับพลังไม่สูงจำนวนไม่น้อยหน้าดำคล้ำเขียวอยู่บ้างแล้ว
ศิษย์ระดับสูงจากกองทัพแสงทองเช่นพวกเสี่ยวอู่ เวลานี้แต่ละคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหอสูงทั้งหกแห่งของค่ายกลแสงทองถ่ายเทพลังเวทในร่างไปยังกระจกแสงทองเบื้องหน้าไม่หยุด ส่วนเฉาฉางเฮ่อกำลังควบคุมแสงสีทองที่ออกมาจากบาตรแห่งการสร้างบนหอหลังใหญ่ให้ชะล้างปราณหยินในเมืองอย่างสุดความสามารถ
ในมือของทุกคนกำหินจิตวิญญาณระดับสูงอยู่ลูกหนึ่ง พวกเขาอาศัยเติมพลังเวทจากหินจิตวิญญาณจึงฝืนคงการส่งถ่ายพลังเวทไว้ได้
ในตำหนักหลักของป้อมปราการที่อยู่ไม่ห่างจากหอสูง พวกผู้เฒ่าจมูกแดงผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนกำลังยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฝั่งตรงข้ามของทั้งสี่คนต่างมีศิษย์ของนิกายตนคนหนึ่งยืนอยู่
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับผู้เฒ่าจมูกแดงก็คือหลิ่วหมิง
แม้เวลานี้ใบหน้าของเขาจะไม่มีสีหน้าผิดปกติแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับมีความคิดวิ่งเร็วจี๋ไม่หยุด
เวลาเช่นนี้ถูกผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์เรียกตัวมากะทันหัน เห็นชัดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอันใด แต่ในเมื่อตอนนี้มาแล้วก็ได้แต่สงบนิ่งดูสถานการณ์
นอกจากเขา เบื้องหน้าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อีกสามคนต่างก็มีคนยืนอยู่ คนหนึ่งคือชายหนุ่มหน้าตาซื่อสวมชุดเกราะสีเหลืองจากนิกายเทียนกง คนหนึ่งคือชายร่างใหญ่เคราเฟิ้มผู้สวมชุดเกราะสีขาวจากสำนักเฮ่าหราน ส่วนอีกคนหนึ่งคือหญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าสวมชุดเกราะสีดำจากนิกายปีศาจลี้ลับ
ดูจากคลื่นพลังเวทที่แผ่ออกมาจากบนร่างทั้งสามคน พวกเขาล้วนพลังระดับแก่นแท้ ในหมู่พวกเขาชายหนุ่มหน้าซื่อคนนั้นระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ส่วนอีกสองคนระดับแก่นแท้ขั้นต้น
หลิ่วหมิงจำทั้งสามคนนี้ได้เลาๆ พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ระดับหัวหน้าหน่วยที่พลังแข็งแกร่งในหมู่ผู้ฝึกฝนซึ่งเป็นกองหนุนจากสามกองทัพใหญ่
ในเวลานี้เองผู้เฒ่าแซ่ฝางแห่งนิกายเทียนกงก็สะบัดมือ แสงสีเหลืองสายหนึ่งแผ่ออกมาล้อมตำหนักใหญ่ทั้งหลังเอาไว้
หลิ่วหมิงเห็นผู้เฒ่าแซ่ฝางสีหน้าระแวดระวังเช่นนั้น ในดวงตาก็ฉายแววแปลกใจเล็กน้อย
“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดไร้สาระ ที่เรียกพวกเจ้าสี่คนมาที่นี่เพราะมีภารกิจสำคัญต้องส่งพวกเจ้าไป” ผู้เฒ่าแซ่ฝางเอ่ยเสียงเข้ม
พวกหลิ่วหมิงสี่คนได้ยิน สีหน้ายิ่งนิ่งสงบ
ผู้เฒ่าแซ่ฝางเห็นปฏิกิริยาของทั้งสี่คนก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“คิดว่าพวกเจ้าคงรู้สถานการณ์ตอนนี้แล้ว ป้อมปราการไท่เทียนถูกกองทัพผีร้ายใช้สุสานผีประตูดำผนึกไว้ เรียกได้ว่ากลายเป็นตะพาบในไห เวลานี้เมืองหลักทั้งสี่คงถูกตัดการติดต่อเพราะเหตุนี้จนกลายเป็นเมืองโดดเดี่ยวแล้วแน่นอน สถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในทางปีศาจเข้าขั้นวิกฤติแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา