หลังจากที่แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา พระจันทร์กลมก็ฟันเข้าตั้งแต่หัวจนถึงกลางตัวของมังกรโดยไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้
แต่ครู่ต่อมา มังกรก็ระเบิดตัวออกกลายเป็นทะเลเลือดอันพวยพุ่งห่อหุ้มพระจันทร์สีเขียวไว้
ถึงแม้พระจันทร์จะหมุนวนอย่างรวดเร็ว และแสงสีเขียวที่เปล่งออกมาจะกวาดเอาหมอกเลือดแถวนั้นไปจนหมด แต่ไอเลือดจำนวนมากก็ยังพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นคาว
หมอกเลือดกับแสงเขียวปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้รูปร่างของพระจันทร์ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าเท่านั้น
ชายฉกรรจ์หัวล้านเห็นเช่นนี้ พลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
แต่ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับทำเสียงฮึดฮัด และทำท่ามือชี้ไปยังพระจันทร์สีเขียวโดยฉับพลัน
พระจันทร์ส่งเสียงดัง “ตู้ม!” แล้วก็แตกกระจายออกมาราวกับกระจก และยังปล่อยปราณกระบี่แหลมเล็กเกือบร้อยเส้นออกมา
ภายใต้ปราณกระบี่หนาแน่นจำนวนมากที่ฟันลงมา ทำให้ทะเลเลือดถูกเจาะทะลุกลายเป็นรูสีขาว ปราณกระบี่จำนวนมากพุ่งผ่านจากตรงนั้นไปหากู่เจวี๋ย
ยังไม่ทันที่ปราณกระบี่จะฟันเข้ามาถึง ไอเย็นสะท้านจากความคมของพวกมันก็ทำให้ชายฉกรรจ์สั่นระริกขึ้นมา
กู่เจวี๋ยตกใจเป็นอย่างมาก คิดที่จะแสดงวิชาต้านทาน แต่สายตาทั้งสองพลันมืดดำแล้วล้มลงไปบนพื้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าในตัวของเขาไม่มีพลังเวทย์เหลือแล้ว สีหน้าของเขาขาวซีดขึ้นมา
เสียงดัง “เพล้ง!” เพล้ง!”
ภายใต้การม้วนตัวของพายุสีดำ พริบตาเดียวปราณกระบี่หลายเส้นถูกพัดกระเด็นออกไป
จากนั้นก็มีคลื่นสั่นไหวเหนือตัวกู่เจวี๋ย ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ปรากฏตัวออกมา และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ไป๋ชงเทียนชนะการประลองในครั้งนี้”
พอเขากล่าวจบ ก็แวบมาปรากฏตัวบริเวณที่กู่เจวี๋ยอยู่ จากนั้นก็มีเสียงตบลงบนตัวเขาดัง “ป้าบ!” “ป้าบ!”
ใบหน้าอันซีดขาวของชายฉกรรจ์กลับมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที
ขณะนี้ หมอกเลือดบนแท่นประลองถูกแสงกระบี่สีเขียวฟาดฟันจนสลายไปหมดสิ้น และแสงกระบี่สีเขียวก็เหลืออยู่แค่สิบกว่าเส้นเท่านั้น และมันก็ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงแค่กระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่ร่วงลงมาจากอากาศ
หลิ่วหมิงเรียกมันเข้ามาหาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ก็กลายเป็นแสงสีเขียวลอยกลับมา แล้วจมหายไปเข้าในแขนเสื้อ
“เจ้าทำมันได้อย่างไร ข้าเคยทดสอบมันมาด้วยตนเองแล้วพบว่าพลังการฟาดฟันของกระบี่กระดูกโลหิตปีศาจเล่มนี้ อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปที่มีแค่สองสามชั้นจำกัดไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน” ถึงแม้ชายฉกรรจ์หัวล้านจะฝืนยืนขึ้นมายืนบนแท่นประลองได้อย่างมั่นคง แต่ยังคงใช้สายตาแปลกประหลาดในการถามหลิ่วหมิง
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน! อาจเป็นเพราะพลังเวทย์ในตอนท้ายของศิษย์พี่ไม่พอ เลยไม่ได้ปล่อยอานุภาพการโจมตีที่แท้จริงออกมากระมัง” หลิ่วหมิงตอบแบบเลี่ยงๆ
แต่ในใจเขากลับเข้าใจมันดี ถ้าหากว่าเทียบพลังเวทย์กันล่ะก็ ของเขามีเหลือน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามมากนัก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการโจมตีในก่อนหน้านี้เขาคิดหาวิธีลดการใช้พลังเวทย์ล่ะก็ เกรงว่าผู้ที่พลังเวทย์หมดก่อนจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่พลังเวทย์ของเขาบริสุทธิ์กว่าศิษย์ทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะมีพลังเวทย์ไม่พอ แต่เมื่อเขาแสดงวิชาอานุภาพของมันกลับไม่ลดลงเลย ทำให้คนอื่นมองกลอุบายนี้ไม่ออก
และในตอนท้ายที่เขาแปลงอาวุธจิตวิญญาณเป็นพระจันทร์สีเขียวเพื่อใช้ในการโจมตีครั้งสุดท้าย ถึงเป็นการใช้พลังเวทย์ทั้งหมดที่เขามี
เป็นดังที่กู่เจวี๋ยกล่าวก็คือ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาทำการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ล่ะก็ เขาจะต้องไม่ใช่ผู้แพ้อย่างแน่นอน!
ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายโดยทั่วไปที่สามารถกระตุ้นชั้นจำกัดที่สามของกระบี่สั้นได้ และสุดท้ายยังปล่อยปราณกระบี่ได้หกถึงสิบเส้นได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะมีผู้ที่ปล่อยได้เกือบร้อยเส้นอย่างหลิ่วหมิง
เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ สามารถเพิ่มอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“ฮึ! ข้าใช้พลังเวทย์ในการโจมตีครั้งสุดท้ายไปเท่าไหร่ ทำไมตัวข้าเองจะไม่รู้!” กู่เจวี๋ยทำเสียงฮึดฮัดแล้วคิดที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามต่อไปอย่างไร
ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนั้นกลับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เอาล่ะ! ในเมื่อการประลองจบแล้ว พวกเจ้าก็ลงไปเถอะ! หรือว่าต้องให้ข้าส่งพวกเจ้าลงไปด้วยตนเอง?”
พอกู่เจวี๋ยและหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้าน รีบโค้งตัวคารวะแล้วกล่าวว่า “มิกล้า” จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินไปยังใต้ธงของตนเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา