ตอนที่ 1052 ทางเชื่อม – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา
ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1052 ทางเชื่อม จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ร่างกายของหลิ่วหมิงพุ่งตกลงไปในหุบเขาเหมือนแมลงวันที่ถูกตบอย่างแรง
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกหัวเราะเย็นชาแล้วมองสำรวจรอบด้าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็จำได้ว่าที่นี่คือสถานที่ทดลองลับของกองทัพ
บึ๊ม ในตอนนี้เองหุบเขาเบื้องล่างพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้น แสงสีฟ้านับไม่ถ้วนผุดออกมา จากนั้นน้ำมากมายมหาศาลทะลักจากในหุบเขาเอ่อล้นไปรอบด้าน
ดวงตาของผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกฉายแววเหี้ยมเกรียม ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งเร็วรี่ลงไปด้านล่าง
ทว่าเมื่อร่างกายของเขาสัมผัสถูกผิวน้ำ ผิวน้ำพลันทอแสงขวางไม่ให้เขาลงไป
ตอนนี้ที่ก้นสายน้ำหลิ่วหมิงกำลังพ่นเลือดหลายคำลงบนธงสีฟ้าในมือ
ธงสีฟ้าเปล่งแสงสีฟ้าแสบตา โบกสะบัดครั้งหนึ่ง คลื่นแผ่วเบาวงหนึ่งก็แผ่ออกไป
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น ดวงตาของหลิ่วหมิงพลันเปล่งประกาย แสงสีฟ้าสว่างขึ้นบนร่างวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็โผล่มาที่ชั้นจำกัดหน้าทางเข้าถ้ำใต้ดินของเนินหลิงจิ้ว ฝ่ามือทอแสงสีขาว แผ่นกลมสีขาวแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันคือสมบัติลับทำลายค่ายกลที่ผู้เฒ่าจมูกแดงมอบให้เขานั่นเอง
แผ่นกลมส่งลำแสงสีขาวสายหนึ่งออกไป ทันใดนั้นปากถ้ำก็เกิดม่านแสงสีดำสนิท ทว่าเมื่อแสงสีขาวส่องกระทบ มันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในเวลานี้เอง พลังมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดสายหนึ่งพลันโจมตีใส่ผืนน้ำในหุบเขาเสียงดังกึกก้อง
แสงดาบยาวร้อยจั้งเส้นหนึ่งพุ่งลงมาดุจสายฟ้าแลบ น้ำมหาศาลไม่ส่งผลอย่างใดต่อมันทั้งสิ้น แสงดาบฟันทะลุมาถึงเหนือศีรษะหลิ่วหมิงดุจผ่าปล้องไผ่!
หลิ่วหมิงแววตาทะมึน มือหนึ่งถือแผ่นค่ายกลสีขาว ส่วนอีกมือหนึ่งงอนิ้วแล้วยืดออก ยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งพร้อมกับอ้าปาก มุกบรรพตธาราลอยหมุนออกมาจากในปากของเขา แสงสีเหลืองสว่างจ้า เงาภูเขาน้อยลูกหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับธาราสีดำสายหนึ่งที่วนล้อมอยู่ใต้ภูเขา
ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์โจมตีเต็มกำลังไหนเลยจะมองเป็นของธรรมดาได้!
คมดาบสีเขียวโค้งดุจสายรุ้งฟันลงบนเงาภูเขาน้อย เงาภูเขาน้อยสีเหลืองเข้มปริแยกเป็นรอยแตกเส้นแล้วเส้นเล่าในพริบตาจากนั้นพังทลายเสียงดังสนั่น!
ทว่าเมื่อแสงดาบร่วงลงบนเงาธาราสีดำสนิทเบื้องล่าง เงาธารน้ำสายยาวกลับเปล่งประกายเป็นผืน กั้นคมดาบสีเขียวเอาไว้
แสงสีขาวกะพริบวูบหนึ่ง เงาร่างของผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกก็พุ่งลงมา เมื่อเห็นภาพนี้เขาพลันตวาดโกรธเกรี้ยว โบกมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา คมดาบสีเขียวสว่างจ้าในทันใด พริบตาเดียวโถมลงมาใส่เงาแม่น้ำ ฟันลงบนมุกบรรพตธารา
พลังมหาศาลสายหนึ่งถ่ายเทจากมุกบรรพตธารามายังร่างของหลิ่วหมิง เพียงชั่วอึดใจชั้นจำกัดสีดำก็ถูกแผ่นกลมสีขาวทะลวงเป็นรูใหญ่
เสียงทุ้มแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง หลิ่วหมิงก็พามุกบรรพตธาราร่วงทะลุช่องโหว่บนชั้นจำกัดลงไปประหนึ่งอุกกาบาตร่วงหล่น
คมดาบมหึมาที่ตามหลังมากระทบบนชั้นจำกัดสีดำอย่างหนักหน่วง พริบตาเดียวก็ทลายมันลงอย่างสิ้นเชิง น้ำมากมายทะลักย้อนกลับ
แต่ในตอนนี้เองถ้ำใต้ดินเบื้องล่างพลันเปล่งแสงสีฟ้า น้ำที่ปากทางเข้าถ้ำก่อตัวเป็นน้ำแข็งปิดทางเข้าไว้แน่นหนาในพริบตา
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกเห็นเช่นนี้จึงแหงนหน้าคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แสงดาบใหญ่ค้ำฟ้าในมือโถมกระหน่ำเข้าใส่ปากถ้ำอย่างบ้าคลั่งตามแรงอารมณ์
……
ในถ้ำใต้ดิน หลิ่วหมิงอ้าปากพ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง แม้พลังส่วนใหญ่ของแสงดาบเมื่อครู่จะถูกมุกบรรพตธาราขวางไว้ แต่พลังมหาศาลที่หลงเหลือก็ยังทำให้เขาบาดเจ็บภายในเพิ่มไม่น้อย
เขาโคจรพลังเวทในร่างอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็กดอาการบาดเจ็บไปได้ จากนั้นเขาจึงกลายร่างเป็นแสงสีดำสายหนึ่ง พุ่งลงไปด้านล่างดุจสายฟ้าแลบ
เดิมทีถ้ำใต้ดินของเนินหลิงจิ้วยังเหลือผีร้ายระดับล่างเฝ้าอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เมื่อพวกมันสัมผัสแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งจากร่างหลิ่วหมิง แต่ละตนก็หลบไปจนไม่เห็นร่องรอย
เพียงไม่กี่ลมหายใจ หลิ่วหมิงก็เหาะมาถึงก้นถ้ำใต้ดิน
วังวนปราณสีดำขนาดมหึมาที่หมุนวนอย่างเชื่องช้าปรากฏเบื้องหน้าเขา ราวกับมันเชื่อมไปยังที่ใดสักแห่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ บนใบหน้าก็เกิดสีหน้าลังเลอย่างห้ามไม่ได้
ครั้งก่อนตอนเขามาที่นี่ก็เดาได้อยู่เลือนรางแล้วว่าที่นี่อาจเป็นทางเข้าไปสู่มิติของแดนลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักสักแห่ง แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเชื่อมต่อไปสถานที่ใด แต่อย่างไรก็ดีกว่าเผชิญหน้าผีแม่ทัพใหญ่ด้านหลัง
แม้เขารู้ดีว่าตนเองมีพลังเหนือกว่าผู้อื่น แต่ในสถานการณ์ที่ทางหนีถูกปิดตายเช่นนี้ เขาย่อมสู้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ที่กำลังเกรี้ยวกราดตนหนึ่งไม่ได้
เสียงดังสนั่นดังขึ้นด้านบนของถ้ำ จากนั้นเสียงโกรธเกรี้ยวของผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกายขยับวูบเดียวจมหายเข้าไปในวังวนปราณสีดำเบื้องหน้าในพริบตา
อึดใจต่อมาหลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดสนิท รอบด้านมีแต่ไอหมอกสีดำ ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกโถมเข้าจู่โจมพร้อมกัน ทั้งร่างดั่งตกอยู่ใต้แรงดึงดูดล่องหนที่มีพลังมหาศาล กายเนื้ออันแข็งแกร่งของเขาดิ่งลงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ราวกับว่าเขาหลงเข้ามาในห้วงเหวลึกไร้ก้นที่มืดมิดไร้แสงตะวัน
ในใจเขาหวาดผวาแต่ไม่มีเวลาให้ขบคิดแล้ว ปราณสีดำรอบตัวม้วนเข้ามาหุ้มร่างตนจนกลายเป็นรังไหมหมอกรังหนึ่ง พยายามสุดกำลังที่จะขัดขวางการกัดกร่อนของปราณหยินเข้มข้นรอบด้าน
ผ่านไปไม่นาน ด้านหลังก็มีเสียงคำรามดุร้ายดังขึ้น!
หลิ่วหมิงหน้าถอดสี ฟังจากเสียงคงจะเป็นผีแม่ทัพใหญ่ตนนั้น!
ระหว่างที่เขาตกตะลึงและเตรียมจะใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต้านปราณหยินเข้มข้นสายนี้นั่นเอง ภาพที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น!
“แก่นเสมือน” ที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตวิญญาณด้านในร่างหมุนวนอย่างเร็วไวขึ้นมาเอง อีกทั้งหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันพลังปราณสายแล้วสายเล่าพลันทะลักจากในทะเลจิตวิญญาณโถมไปยังเส้นลมปราณปกติแต่ละเส้นในร่าง รวมถึงชีพจรจิตวิญญาณเส้นหนาทั้งหกที่วนล้อมอยู่ทั่วร่างอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เมื่อพลังปราณสายนี้เคลื่อนไหว ลมปราณที่หนาวเย็นเสียดแทงกระดูกเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นไม่หนาวเย็นเท่าไรนัก
“เคล็ดวิชากระดูกดำ!”
หลิ่วหมิงทั้งตกตะลึงทั้งยินดี เคล็ดวิชากระดูกดำที่ซ่อนตัวอยู่มาเนิ่นนานสำแดงฤทธิ์ขึ้นมาเอง
หลังจากลมปราณโคจรเช่นนี้อยู่หลายรอบ เส้นลมปราณที่ไร้เรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างจึงค่อยๆ ฟื้นกลับมามีความรู้สึก อาการบาดเจ็บที่ได้มาจากเมื่อครู่ค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อย
หลิ่วหมิงคาดคะเนในใจเงียบๆ เขาคิดว่าผ่านไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนก็น่าจะหายดีอย่างสมบูรณ์
เขาไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่แห่งนี้ ในสภาพที่ไม่อาจขยับตัวได้เช่นนี้ หากพบพวกต่างเผ่าตนใดเข้า ตนเองคงตกที่นั่งลำบาก
แต่สถานการณ์ตอนนี้ นอกจากโคจรเคล็ดวิชากระดูกดำก็เหมือนจะไม่มีหนทางอื่นแล้ว ระหว่างที่หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ สายตาก็กวาดมองท้องฟ้า ทันใดนั้นในใจก็ตกตะลึงอีกครั้ง
บนท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยหมอกสีเทาขมุกขมัว มีดวงแสงแสบตาคล้ายกับดวงตะวันอยู่ดวงหนึ่ง
แต่ดวงแสงที่ปรากฏอยู่ตอนนี้เหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่าง อีกทั้ง “แสงตะวัน” ที่ “ดวงตะวัน” ดวงนี้สาดลงมาบนร่างกลับสัมผัสความอบอุ่นไม่ได้แม้แต่นิด ตรงกันข้ามมันเย็นยะเยือก
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป พลังเวทในร่างเขาก็ยิ่งโคจรได้ราบรื่นยิ่งขึ้น อีกทั้งแขนขาทั้งสี่ก็เริ่มขยับได้เล็กน้อย แต่ “ดวงตะวัน” ดวงนั้นบนท้องฟ้า เวลานี้กลับเหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆ ประหนึ่งพระจันทร์เสี้ยว
ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อ “ดวงตะวัน” ดวงนี้หดเล็กลง ปราณหยินเข้มข้นที่อัดแน่นอยู่ในอากาศรอบด้านก็ดูเหมือนจะเบาบางลงไปไม่น้อยตามด้วย
เวลาผ่านอีกเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าแล้วสะบัดศีรษะ ก่อนจะรู้สึกว่าศีรษะที่เดิมทีหนักอึ้งอยู่บ้างเบาขึ้นเล็กน้อย
หลังจากพบว่าตนเองกลับมาขยับได้ หลิ่วหมิงก็สงบใจได้อย่างสมบูรณ์ เขาพบว่าด้านหน้าไม่ไกลมีแท่นบูชาที่สร้างจากศิลาสีดำตั้งตระหง่านอยู่แท่นหนึ่ง รอบตัวมันมีเมฆหมอกสีเทาเข้มที่หนาทึบผิดปกติรายล้อมอยู่
“ปราณหยินหรือ?” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ปราณหยินที่นี่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ในทางปีศาจร้าย ไม่เพียงเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง ความเข้มข้นก็ไม่ธรรมดา นอกเหนือจากนั้นลมปราณอันเย็นยะเยือกเหล่านี้ยังปรากฏในรูปของเหลว คล้ายกับไอน้ำสีดำบางๆ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งแท่นบูชา
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบด้านก็พบว่าแท่นบูชาน่าจะตั้งอยู่ใจกลางของหุบเขารูปวงแหวนแห่งหนึ่ง รอบด้านมองเห็นเทือกเขาสูงต่ำไม่เท่ากันลูกแล้วลูกเล่าล้อมแท่นบูชาไว้ตรงกลาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา