ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1067

สรุปบท ตอนที่ 1067 ภูตยมโลกโลหิต: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1067 ภูตยมโลกโลหิต – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 1067 ภูตยมโลกโลหิต ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

“ครืน” เสียงทุ้มต่ำดังสนั่น

เงาภูเขาน้อยทับลงบนพื้นกรวด บดขยี้จานกลมสีดำที่อยู่ด้านล่าง

เศษหินปลิวว่อน ฝุ่นควันลอยฟุ้งอยู่ชั่วขณะ!

เมื่อแสงเรืองรองสีเหลืองของเงาภูเขาน้อยม้วนกลับไปในมุกกลมสีเหลืองเข้มให้ชาวยมโลกร่างเตี้ยเห็นภาพเบื้องล่างชัด เขาก็สูดลมหายใจดังเฮือกอีกหน!

ส่วนนูนของจานกลมที่เกิดจากอาวุธยมโลกฉาบสองข้างประกบกันนั่น เวลานี้ถูกอัดจนแบนเหมือนขนมแป้งทอด ฝังลึกลงไปในพื้นหินกรวด

ชาวยมโลกร่างสูงถูกการโจมตีนี้ทับจนร่างสลายตายทันที

เห็นภาพนี้ ชาวยมโลกร่างเตี้ยไหนเลยจะยังไม่เข้าใจพลังอันน่ากลัวของอีกฝ่าย!

เขาร้องตกใจแล้วเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มืออย่างหวาดกลัวยิ่งนัก วงล้อเวทใต้เท้าที่แปลงมาจากกรงเล็บอสูรสีดำคู่ฉับพลันหมุนเร็วไว ยกร่างเขากลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งหนีกลับไปทางที่มาอย่างรวดเร็ว

“ท่านยอมลำบากไล่ตามข้ามาจนถึงที่นี่เช่นนี้ ตอนนี้คิดหนี ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปหน่อยหรือ!”

หลิ่วหมิงหัวเราะหยัน มือก็ทำท่าเคล็ดวิชา กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกทอแสงสีเทาขมุกขมัวพุ่งพรวดออกจากแขนเสื้อ ร่างกายขยับวูบเดียวร่อนลงบนกระบี่บิน

เขาชี้เคล็ดวิชาที่มือ เท้าเหยียบกระบี่บินแล้วกลายเป็นรุ้งน่าตะลึงสีเทาเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ไล่ตามไปด้านหน้า ความเร็วเหมือนจะเร็วกว่าชาวยมโลกร่างเตี้ยที่หนีอยู่หลายส่วน

ระยะห่างที่เดิมทีแค่สองสามร้อยจั้ง ชั่วเวลาสองสามลมหายใจก็หดสั้นลงอย่างรวดเร็ว

ชาวยมโลกร่างเตี้ยด้านหน้าย่อมสังเกตเห็นเรื่องนี้ เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งใส่วงล้อเวทใต้เท้าอย่างหวาดผวา ความเร็วของลำแสงเพิ่มขึ้นมากในฉับพลัน

หลิ่วหมิงที่เหาะอยู่บนฟ้าสายตาเย็นเยียบ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือ “พรึ่บ” ปีกเนื้อสีเงินคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นหลัง ตัวเขากลายเป็นลำแสงสีเทาสลับเงินเส้นหนึ่งพุ่งเร็วจี๋ไปด้านหน้า

ลำแสงกะพริบวูบวาบไม่กี่หนก็ไล่ตามมาอยู่ด้านหลังชาวยมโลกร่างเตี้ยห่างไม่ถึงยี่สิบสามสิบจั้ง

ชาวยมโลกร่างเตี้ยตกตะลึง เขาเหวี่ยงกระบองสั้นในมือไปด้านหลัง ทันใดนั้นมันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดยี่สิบสามสิบจั้ง เงากระบองดุจขุนเขาปรากฏขึ้นมากมายถี่ยิบ พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงที่ทะยานมาด้านหลัง

ปราณดำรอบร่างหลิ่วหมิงพลุ่งพล่านออกมา ร่างกายเลือนรางกลายเป็นเงาลวงสี่ร่างพร้อมกัน “ฟึบ” เขาหายไปจากที่เดิมพร้อมกับร่างแยกเงา เงากระบองมากมายที่โจมตีใส่เขาฉับพลันพลาดเป้า

อึดใจต่อมาอากาศรอบตัวชาวยมโลกร่างเตี้ยก็สั่นสะเทือนพร้อมกัน “หลิ่วหมิง” ที่เหยียบอยู่บนกระบี่บินสีเทาสามคนปรากฏตัวออกมา ล้อมเขาไว้จากสามมุมแล้วหัวเราะใส่เขาพร้อมกัน

ชาวยมโลกร่างเตี้ยหวาดผวาถึงขีดสุด เขารีบถูฝ่ามือทั้งสองข้าง ตบลงบนร่างหนักๆ หลายหน ร่างกายฉับพลันมีเกราะป้องกันสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ต่อจากนั้นกระบองน้อยสีเทาในมือพลันกวาดขวาง ฟาดกระบองแท่งนี้ใส่เงาลวงที่อยู่รอบด้านอย่างหนักหน่วงหลายหน

เงากระบองสีดำสนิทมากมายเป็นผืนปรากฏขึ้นรอบตัวเขาอีกหน กลายเป็นคลื่นอันน่าหวาดหวั่นโถมเข้าใส่ “หลิ่วหมิง” ทั้งสามคน

ในห้วงวิกฤติเงากระบองที่เผ่ายมโลกร่างเตี้ยปล่อยออกมามีพลังไม่ธรรมดา พวกมันใช้ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อทะลวงผ่านร่างของหลิ่วหมิงไป แต่ทันใดนั้น “หลิ่วหมิง” ทั้งสามคนกลับสลายหายไปพร้อมกัน พวกเขาเป็นเพียงร่างลวงเท่านั้น

“แย่แล้ว!”

เผ่ายมโลกร่างเตี้ยตกตะลึงแต่ได้สติในทันที เขารีบเงยหน้ามองก็พบบุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อที่เป็นร่างแปลงของหลิ่วหมิงผู้นั้นปรากฏตัวยืนอยู่กลางท้องฟ้า พร้อมกับแสงกระบี่สีเทายาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งฟันลงมาอย่างไม่เกรงใจ

คมกระบี่ยังมาไม่ถึง จิตกระบี่มโหฬารสายหนึ่งก็โถมเข้ามาแล้ว!

แม้บนร่างของเผ่ายมโลกร่างเตี้ยยังมีเกราะป้องกันสีดำชั้นหนึ่งขวางอยู่ แต่เขาจะกล้ารับการโจมตีของวิชาขี่กระบี่ที่มีพลังน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้อย่างไร

“ฟึบ” หน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด แต่จากนั้นเขาก็กัดฟันกรอด กระบองน้อยสีดำในมือหลุดจากมือลอยขึ้นด้านบน

“ระเบิด”

ใบหน้าของเผ่ายมโลกร่างเตี้ยฉายแววเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่งก่อนจะกระตุ้นเคล็ดวิชา

พร้อมกับที่เอ่ยคำนี้ กระบองสั้นสีดำก็สั่นไหวแล้วระเบิดท่ามกลางเสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับ

ดวงแสงสีดำสนิทประหนึ่งดวงตะวันเจิดจ้าดวงหนึ่งลอยขึ้นมาเหนือร่างเผ่ายมโลกร่างเตี้ย พลังน่าทึ่งยิ่งนัก

แสงกระบี่สีเทาถูกดวงแสงสีดำสนิทกลืนกลบในพริบตา!

หลิ่วหมิงที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าขมวดคิ้ว ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังกระพือครั้งหนึ่ง ร่างกายพลันเลือนหายเหาะเร็วรี่ขึ้นด้านบน หลบรัศมีของดวงแสงสีดำสนิทจนพ้น

ตอนที่เผ่ายมโลกร่างเตี้ยยินดียิ่งและคิดจะฉวยจังหวะนี้ใช้เคล็ดวิชาหลบหนีไปอีกครั้งนั่นเอง

สายลมเย็นคมกริบสายหนึ่งพลันจู่โจมมาจากด้านหลังศีรษะของเขา เขารู้สึกว่าลำคอเย็นวูบ จากนั้นกระบี่น้อยสีเทาเล่มหนึ่งก็ทะลุผ่านหลังคอไป!

กระบี่ลูกของกระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกนั่นเอง!

เผ่ายมโลกร่างเตี้ยเบิกสองตาโตคล้ายไม่ยินยอมที่จะตายเช่นนี้ แต่ศพของเขากลับพาโลหิตสายหนึ่งร่วงลงไปกระแทกเบื้องล่างอย่างหนักหน่วง

หลิ่วหมิงที่อยู่กลางท้องฟ้ายกมือข้างหนึ่งขึ้นกวักด้วยสีหน้าเรียบเฉย กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกผสานจากสองเป็นหนึ่งแล้วถูกเรียกกลับมา จากนั้นเขาจึงดิ่งลงไปด้านล่างอีกครั้ง

หลังจากเขาเก็บอาวุธเวทเก็บของจากเผ่ายมโลกร่างเตี้ยกับของเช่นกรงเล็บอสูรสีดำที่ร่วงอยู่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้วก็ปล่อยจิตสัมผัสกวาดบริเวณสิบกว่าลี้รอบด้านอีกหน

ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววประหลาดใจ จากที่เขาจำได้ ตอนที่เขาผละออกมา หัวหน้าขบวนเผ่ายมโลกสองตนนี้น่าจะยังอยู่ใจกลางการต่อสู้สิ ทำไมพริบตาเดียวจึงมาถึงสถานที่เช่นนี้ได้ แล้วยังสู้กันตัวต่อตัวอีก

สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างบุรุษร่างยักษ์อาภรณ์สีฟ้าครู่หนึ่งแล้วเลื่อนไปจับบนร่างเหลิ่งเหมิง จากนั้นดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง

เห็นบนร่างที่สูงถึงสามจั้งของเหลิ่งเหมิงเวลานี้มีแสงสีเลือดล้อมอยู่ เมื่อเพ่งมองเหมือนมีของเหลวไหลเคลื่อนอยู่ช้าๆ

นอกจากนี้ข้างกายเขายังมีเงาภูตสีเลือดหน้าตาเหมือนกันทุกประการลอยอยู่อีกเก้าตน เหมือนของจริงแต่ก็เหมือนภาพลวง ลอยล่องไปมา ดูแล้วประหลาดยิ่งนัก

อีกทั้งเงาภูตสีเลือดแต่ละตนยังแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณที่ไม่เป็นรองเผ่ายมโลกระดับแกนแท้ออกมาด้วย

“นี่เหมือนจะเป็นวิชาสายโลหิต…”

หลิ่วหมิงลอบคาดเดาในใจ แล้วอดไม่ได้นึกถึงพลังของราชาโลหิตที่เคยประมือด้วย

“ดี คิดไม่ถึงว่าพวกเราวางแผนการมากมายแต่ก็ยังดูถูกเจ้าเกินไป อันดับหนึ่งใต้ระดับดาราพยากรณ์ของเมืองเหลิ่งเยวี่ยไม่เสียชื่อจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนคัมภีร์ยมโลกโลหิตจนถึงขั้นนี้ แล้วยังสร้างภูตยมโลกโลหิตขึ้นมาอีกเก้าตน!” บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้ากวาดสายตาบนร่างเงาโลหิตรอบตัวเหลิ่งหมิงแล้วเอ่ยเย็นชา

เหลิ่งเหมิงเพียงหัวเราะหยันแต่ไม่ตอบคำ ร่างกายขยับวูบเดียวพาเงาภูตโลหิตเก้าตนบีบเข้าไปหาบุรุษร่างยักษ์อาภรณ์สีฟ้า

“เจ้าซ่อนเร้นพลังมาตลอด ถึงขั้นสละลูกน้องอย่างไม่เสียดายก็เพื่อตอนนี้…” บุรุษร่างยักษ์ชุดสีฟ้ารูม่านตาหดเล็กลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“เพื่อไม่ให้การส่งมอบบรรณาการครั้งนี้ผิดพลาด เจ้าเมืองตั้งใจมอบธงวิญญาณโลหิตนี้ให้ข้าโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าเมืองหานสุ่ยกับเมืองเลี่ยเยี่ยนจะร่วมมือกันโจมตี ขบวนบรรณาการของเมืองเหลิ่งเยวี่ยครั้งนี้ล่มแล้ว แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงสังหารเจ้าแย่งของบรรณาการครานี้ของเมืองหานสุ่ยมาได้ น่าจะยังบรรเทาเพลิงพิโรธของเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยได้อยู่บ้าง” เหลิ่งเหมิงเอ่ยอย่างเชื่องช้าทีละคำ

สิ้นเสียง แสงสีเลือดพลันสว่างขึ้นบนมือของเขา ธงสีเลือดสูงหนึ่งจั้งกว่าคันหนึ่งลอยขึ้นมาจากร่างเขาอย่างเชื่องช้า จากนั้นเขาก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมา เสียงหวีดแหลมดังขึ้น จากนั้นหมอกโลหิตทั้งผืนก็จมหายเข้าไปในธงสีเลือด

พริบตาเดียวธงสีเลือดก็เปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าแล้วขยายขนาดอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากกะพริบวูบวาบสองสามหนมันก็กลายเป็นธงยักษ์สีเลือดขนาดหลายสิบจั้งคันหนึ่ง หนาดุจถังน้ำ ปราณดุร้ายท่วมท้น!

ฟู่ ฟู่ ฟู่ !

ลำแสงสีเลือดหลายสายฉับพลันพุ่งออกมาจากธงผืนใหญ่สีเลือด ผสานเข้าไปในเงาภูตสีเลือดรอบตัวเหลิ่งเหมิง

ร่างของเงาภูตสีเลือดเปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าในทันใด พวกมันร้องคำรามประหนึ่งสัตวร้าย ร่างกายที่เดิมทีสูงกว่ามนุษย์เพียงเล็กน้อยขยายจนใหญ่หนึ่งจั้งกว่า จากนั้น “ฟึบ” “ฟึบ” หายวับโถมเข้าใส่บุรุษร่างยักษ์ชุดสีฟ้า

บุรุษร่างยักษ์ชุดสีฟ้าสีหน้าเคร่งขรึม สองมือตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว พร้อมกับที่ปากท่องมนตร์อย่างเคร่งเครียด มุกกลมสีฟ้าลูกหนึ่งที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเปล่งแสงสว่างจ้าอีกหนแล้วกลายเป็นกลุ่มเมฆสีฟ้าหน้าตาเหมือนกรวย เอียงเทลงมาล้อมบุรุษร่างยักษ์ไว้ด้านใน จากนั้นกลุ่มเมฆก็พุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

เหลิ่งเหมิงเห็นเช่นนี้พลันเผยรอยยิ้มหยันจางๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา