ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ร่อนลงมายังผืนป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขาหลักของนิกายปีศาจสามลี้
บนพื้นที่โล่งกว้างผืนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาไม่ไกล อาจารย์อาหร่วนยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่นั่น
“ศิษย์คารวะอาจารย์อา!” หลิ่วหมิงโค้งตัวคารวะด้วยความนอบน้อม
“เจ้ามาได้เร็วดีนี่ แต่ต้องรออีกสักครู่ก่อน!” อาจารย์อาหร่วนกล่าวอย่างราบเรียบ
“ทำไมล่ะ! อาจารย์อานัดหมายผู้อื่นด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงตะลึงเล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาคือผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเหมือนกับเจ้า แน่นอนว่าฝึกฝนก่อนหน้าเจ้าหลายปี ระดับความรู้ลึกซึ้งกว่าที่เจ้าจะเทียบได้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึง แต่ก็พยักหน้าโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงดังมาจากท้องฟ้า เมฆเทาอีกก้อนร่อนลงมา และมีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากในนั้น
“เป็นเจ้า!”
พอคนผู้นี้เห็นใบหน้าหลิ่วหมิงชัดเจนสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นชายฉกรรจ์หัวล้านที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหลิ่วหมิงเมื่อตอนกลางวัน
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่กู่ ช่างบังเอิญเสียจริง” หลิ่วหมิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน ขณะเดียวกันก็เข้าใจในฉับพลัน
มิน่าล่ะเมื่อตอนกลางวันถึงได้รู้สึกถึงกลิ่นไออันคุ้นเคยจากฝ่ายตรงข้าม ที่แท้ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกันนี่เอง
“ที่ท่านบอกว่าจะให้ข้าพบกับคนอีกคนที่ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำเหมือนกัน ที่แท้คนผู้นั้นก็คือศิษย์น้องไป๋นั่นเอง” กู่เจวี๋ยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที แล้วหันหน้าไปถามอาจารย์อาหร่วน
“ถึงแม้เจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเร็วกว่าเขาหลายปี แต่หลังจากผ่านการประลองเมื่อตอนกลางวันแล้วคงจะรู้ว่าพลังของตนเองยังไม่เท่าศิษย์น้องไป๋ผู้นี้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
“ฮึ! นั่นเป็นเพราะว่าในมือของข้าไม่มีอาวุธจิตวิญญาณ ถ้าข้ามีอาวุธจิตวิญญาณล่ะก็ ทำไมจะต้องใช้พลังเวทย์จำนวนมากในการกระตุ้นกระบี่กระดูกโลหิตปีศาจเล่มนั้นด้วยเล่า และคงไม่พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้” กู่เจวี๋ยเอามือลูบศีรษะแล้วกล่าวอย่างไม่ยอมรับ
ดูจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยเคารพและยำเกรงผู้อาวุโสร่างท้วมมากนัก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยืมแบบจืดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“อาวุธจิตวิญญาณของศิษย์น้องไป๋ก็ไม่ใช่ของที่ทางนิกายมอบให้ เจ้ามีความสามารถก็ไปหาเก็บเอาเอง เอาล่ะ! จะไม่พูดเรื่องไร้สาระแล้ว เจ้าคงจะรู้ว่าครั้งนี้ข้าเรียกเจ้าออกมาทำไม”
“ท่านคงอยากถามข้าเกี่ยวกับวิชาควบคุมกระดูกล่ะสิ ไม่คาดคิดว่าเคล็ดวิชากระดูกดำจะสามารถควบคุมกระดูกปีศาจได้ สิ่งนี้ข้าค้นพบมันโดยไม่ตั้งใจหลังจากที่ได้ทดลองไปหลายครั้ง มิเช่นนั้นข้าคงไม่คิดที่จะเข้าไปอยู่ในศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกของการประลองใหญ่ครั้งนี้หรอก แต่คิดไม่ถึงว่าถูกศิษย์น้องไป๋ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเหมือนกันขัดขวางเข้า แต่มันก็ไม่เลว ข้าถูกคนเข้าใจผิดว่าฝึกฝน ‘วิชาควบคุมกระดูก’ คิดว่าต่อไปก็คงได้ลิ้มรสชาติของการถูกให้ความสำคัญแล้ว” กู่เจวี๋ยกล่าวแบบไม่แยแส
“ฮึ! เจ้าคิดว่าตัวเองค้นพบเรื่องเคล็ดวิชากระดูกดำสามารถควบคุมกระดูกปีศาจได้เป็นคนแรกหรือ? ขอแค่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สี่จนมั่นคง และชำนาญแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ฝึกวิชานี้ก็สามารถเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้ได้” อาจารย์อาหร่วนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ ข้าไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบเรื่องนี้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยมีคนที่มีความสามารถเช่นโผล่ออกมาเลย” กู่เจวี๋ยได้ยินก็รู้สึกแปลกใจมาก
หลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งจนอ้าปากค้าง
ความชำนาญในการควบคุมกระดูกปีศาจของฝ่ายตรงข้ามนั้น ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นผลพลอยได้มาจากพลังขั้นที่สี่ของเคล็ดวิชากระดูกดำ เช่นนี้ก็หมายความว่าถ้าเขาเริ่มฝึกฝนในขั้นนี้ก็สามารถทำเช่นนี้ได้เหมือนกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา