บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงหันกลับไป เมื่อเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัว ร่างกายก็ขยับถอยหนีไปสิบกว่าจั้งในพริบตา ดวงตาที่มองหลิ่วหมิงฉายแววระแวดระวัง
หลิ่วหมิงมองบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้านิ่งๆ เขายืนอยู่ที่เดิม ไม่ลงมือโจมตีและไม่เดินเข้าไปอีก
สถานการณ์ที่นี่ส่อให้เห็นความผิดปกติ ก่อนสืบให้รู้ชัดเขาไม่คิดบุ่มบ่าม
“เจ้าเป็นลูกน้องของเหลิ่งเหมิง! เขาส่งเจ้ามาไล่ล่าสังหารข้าสินะ” บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ถามหยั่งเชิง
เวลานี้เขาเห็นหน้าตาของหลิ่วหมิงชัดเจนแล้วจึงจำได้เลาๆ ว่าตอนรบกับเมืองเหลิ่งเยวี่ยก่อนหน้านี้ คนตรงหน้าคือระดับแก่นเสมือนเพียงคนเดียวในกลุ่มผู้คุ้มกันข้างตัวเหลิ่งเหมิง
ตอนนี้เขาตรวจสอบระดับพลังไม่ได้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะใช้วิชาลับซ่อนเร้นลมปราณบางอย่างอยู่
เวลานี้นอกจากกำลังตกตะลึง เขาก็ลอบใช้วิชาลับเรียกพลังภายในตัวออกมา หลังจากแผดเผาอายุขัยไปเกือบร้อยปีจึงอาศัยสิ่งนี้ฟื้นพลังเวทกลับมาได้ส่วนหนึ่ง ในใจจึงมีความกล้ามากขึ้น
หลิ่วหมิงไม่มีปฏิกิริยากับคำถามของบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้า เขาเอาแต่กวาดสายตาไปรอบด้าน สำรวจห้องศิลาห้องนี้
เขาเห็นกำแพงสามด้านกับเพดานเหมือนจะถูกชั้นจำกัดบางอย่างคลุมอยู่จนแลดูเป็นสีเทาขมุกขมัวไปหมด
ส่วนทางด้านหลังที่เขามา เวลานี้ถูกม่านแสงสีเทาหม่นกั้นไว้ บนม่านแสงมียันต์สีน้ำเงินไม่ทราบชื่อเคลื่อนขึ้นลงอยู่เลือนราง มองเห็นรางๆ ว่ามีแสงจุดหนึ่งส่องเข้ามาจากด้านนอก น่าจะเป็นทางเข้าห้องศิลาแห่งนี้
ทั้งสองคนเข้ามาจากด้านนอกอย่างไร้อุปสรรค ย่อมไม่ได้หมายความว่าจะออกไปได้เช่นเดียวกัน เขาปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านบนม่านแสง ผลปรากฏว่าเป็นดังที่คิดไว้ ทันทีที่แตะต้อง จิตสัมผัสก็ถูกสะท้อนกลับมาไม่อาจแทรกผ่านไปได้แม้แต่นิด
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสสำรวจมุมกำแพงแต่ละด้านที่เหลือในห้องศิลาต่อ ผลปรากฏว่าล้วนเป็นดุจเดียวกัน
แต่ด้านในสุดของของห้องศิลาว่างโล่งแห่งนี้ เขาพบแท่นศิลาสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำแท่นหนึ่ง บนแท่นศิลาวางโคมสำริดโบราณหน้าตาเรียบง่ายไว้ดวงหนึ่ง มันดูเก่าแก่ ด้านบนมีฝุ่นสีเทาหนาเตอะปกคลุม
โคมสำริดโบราณดวงนี้ไม่มีคลื่นพลังเวทอันใดแผ่ออกมาจนดูเหมือนเป็นของธรรมดาชิ้นหนึ่ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดหลิ่วหมิงจึงรู้สึกขนลุกยิ่งนัก
นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
บุรุษร่างยักษ์สีฟ้าเห็นหลิ่วหมิงเมินเขาเช่นนี้ สีหน้าโกรธเกรี้ยวพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วคิดจะขยับตัว
ทว่าในเวลานี้เอง เหตุการณ์พลิกผันก็บังเกิด!
“ปึง” เสียงแผ่วเบาดังออกมาจากด้านในห้องศิลา
เสียงนี้เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสนิทไร้สรรพเสียงเช่นนี้ เสียงกลับดังเข้าหูหลิ่วหมิงกับบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าผู้นี้ประหนึ่งอสนีบาต
ทั้งสองคนหวาดผวา หันไปมองในทันใด
แล้วก็เห็นในโคมสำริดโบราณบนแท่นศิลาสีดำมีดวงไฟลุกขึ้นมาจุดหนึ่ง เปลวเพลิงของโคมไฟขนาดเพียงเท่าเม็ดถั่ว ริบหรี่อย่างยิ่งเสมือนหนึ่งเป่าครั้งเดียวก็เป่ามันดับได้
ทันใดนั้นควันสีน้ำเงินสายหนึ่งก็ลอยวนขึ้นมาจากโคม แท่นศิลาทั้งแท่นขยับดังกึกๆ ลมปราณดุร้ายที่ไม่บรรยายไม่ถูกสายหนึ่งแผ่ออกมาจากด้านใน
หลิ่วหมิงกับบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสีพร้อมกัน
หลิ่วหมิงหมุนตัวแล้วใช้เคล็ดกระบี่ทันที กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกทอแสงสีเทาวูบหนึ่ง จากนั้นปราณกระบี่ก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันกลายเป็นแสงกระบี่ยักษ์ยาวยี่สิบกว่าจั้งสายหนึ่ง ฟันลงบนม่านแสงสีเทาตรงทางเข้าอย่างหนักหน่วง
เงาคนขยับวูบหนึ่ง บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าไม่มีเวลาสนใจจะสู้กับหลิ่วหมิงแล้วเช่นกัน เขาทะยานร่างเหาะเข้ามา แขนข้างหนึ่งไม่รู้มีวงแหวนกระดูกสีขาวโพลนชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด มันสั่นวูบหนึ่ง เงาวงแหวนมากมายผืนใหญ่ก็หลุดจากแขน โจมตีลงบนม่านแสงอย่างหนักหน่วง
ทว่าไม่ว่าจะเป็นแสงกระบี่ยักษ์ที่หลิ่วหมิงใช้หรือการโจมตีจากเงาวงแหวนของหลานซวี่ ทันทีที่สัมผัสถูกม่านแสงสีเทาอ่อนกลับเป็นดั่งตุ๊กตาวัวโคลนจมทะเลไม่เหลือร่องรอยแต่อย่างใด ผิวม่านแสงเพียงกระเพื่อมเบาๆ ครู่หนึ่งก็ฟื้นกลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เมื่อเห็นภาพนี้ พวกหลิ่วหมิงล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เพียงครู่เดียวนี้ควันสีน้ำเงินก็ลอยออกมาเป็นกลุ่มบนแท่นศิลาแล้ว เงาคนพร่ามัวไม่ชัดร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางกลุ่มควันสีน้ำเงินอย่างเชื่องช้า
แสงสีแดงสองดวงลุกโชนบนใบหน้าของเงาคนก่อนจะเคลื่อนมาจับอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหนาวสะท้านไปทั้งร่าง เขาหมุนตัวไปประจันหน้ากับแท่นศิลาทันที พร้อมกันนั้นก็อ้าปากคายมุกกลมสีเหลืองหม่นลูกหนึ่งออกมา
มุกบรรพตธาราหมุนติ้ว ไอหมอกสีเหลืองเข้มสายหนึ่งทะลักออกมาหุ้มทั้งร่างของเขาไว้ด้านใน เวลาเดียวกับที่แสงสีม่วงส่องสว่าง กระบี่ขู่หลุนโฉบออกมาวนรอบตัวหลิ่วหมิงก่อนจะแผ่อสนีบาตสีม่วงสายแล้วสายเล่าออกมา
แม้ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่กลางควันสีน้ำเงินนั่นคือสิ่งใด แต่ลมปราณดุร้ายที่มันแผ่ออกมาน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริงจนทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน ความรู้สึกเช่นนี้ หลังจากเขาเข้าสู่ระดับผลึกก็เคยรู้สึกแต่ยามที่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เท่านั้น
บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าด้านข้างมองมุกบรรพตธาราเหนือศีรษะหลิ่วหมิงกับกระบี่ขู่หลุนไวๆ แวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็อ้าปากคายอาวุธคุ้มครองกายที่หน้าตาเหมือนโล่น้อยชิ้นหนึ่งออกมากลายเป็นม่านแสงสีเทาชั้นหนึ่งล้อมทั่วร่างเอาไว้บ้าง พร้อมกันนั้นแขนข้างหนึ่งก็ยกวงแหวนกระดูกไว้ตรงหน้าอก
“เอ๋! ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์…”
เงาคนเลือนรางกลางควันสีน้ำเงินอุทานเบาๆ ก่อนที่ดวงตาซึ่งเรืองแสงสีแดงจะเคลื่อนไปจับอยู่บนตัวบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าที่อยู่ไม่ไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา